วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มารู้จักกับการทำงานของอินเตอร์เนต

รู้จักกับ TCP/IP

โปรโตคอล TCP/IP หรือ Transmission Control Protocol/Internet Protocol เป็นระเบียบวิธีการ สื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กันมาแต่เดิมในระบบปฏิบัติการ Unix ซึ่งมีการใช้งานอย่าง กว้างขวางมาก จนถือเป็นมาตรฐานได้ จุดกำเนิดของโปรโตคอล TCP/IP นี้เริ่มขึ้นในราว พ.ศ. 2512 ที่กระทรวงกลาโหมของสหรัฐ เมื่อพบปัญหาในการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในหน่วยงานต่างๆ ของตน ซึ่งจะต้องมีการส่งข้อมูลระหว่างกัน และไปยังหน่วยงานภายนอกอื่นๆ เช่น มหาวิทยาลัย ห้องทดลองต่างๆ (ส่วนใหญ่มีเครื่องที่ใช้ระบบ Unix อยู่เป็นจำนวนมาก) เนื่องจากแต่ละแห่งก็จะมีระบบคอมพิวเตอร์ของตนเองที่แตกต่างกันไป การต่อเชื่อมกันก็เป็นไปในลักษณะต่างคนต่างทำไม เหมือนกัน ดังนั้นข่าวสารข้อมูลทั้งหลาย จึงถ่ายเทไปมาได้อย่างยากลำบากมาก กระทรวงกลาโหมสหรัฐได้ จัดตั้งหน่วยงาน Advanced Research Projects Agencies (ARPA) ขึ้นมา เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ผลลัพธ์ที่หน่วยงาน ARPA ได้จัดทำขึ้นคือ การกำหนดมาตรฐานในการสื่อสารข้อมูลและได้จัดตั้งเครือข่าย ARPANET ขึ้นโดยใช้โปรโตคอล TCP/IP ต่อมาก็กลายมาเป็นมาตรฐานจริงจัง ในราวปี พ.ศ. 2525 ความสัมพันธ์ระหว่าง TCP/IP กับระบบปฏิบัติการ Unix เกิดขึ้น เนื่องจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่เบอร์คเลย ์ ได้พัฒนาระบบปฏิบัติการ Unix ซึ่งมีการผนวกเข้ากับโปรโตคอล TCP/IP สำหรับใช้ในการสื่อสารระหว่างระบบออกมา และเผยแพร่ต่อไปยังหน่วยงานต่างๆ ทำให้การสื่อสารกันของเครื่องที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Unix มักจะต้อง ใช้โปรโตคอล TCP/IP เสมอ และมีบทบาทเป็นสิ่งที่คู่กันต่อมาถึงปัจจุบัน


ในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของผู้ใช้จะเป็นแบบใดก็ตาม เช่น พีซีหรือแมคอินทอช ก็สามารถใช้งานโปรโตคอล TCP/IP เพื่อต่อเชื่อมเข้าส ู่อินเตอร์เน็ตได้ วิธีการก็คือเพียงแต่ติดตั้งใช้งานซอฟต์แวร์โปรโตคอล TCP/IP เท่านั้น ส่วนวิธีการและโปรแกรมที่ติดตั้ง จะแตกต่างกันขึ้นกับระบบที่ใช้ ซึ่งจะกล่าวต่อไป หมายเลข IP (IP Address) การสื่อสารกันในระบบเครือข่าย อินเตอร์เน็ตที่มีโปรโตคอล TCP/IP เป็นมาตรฐานนี้ เครื่องอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่ออยู่ จะต้องมีหมายเลขประจำตัวเอาไว้อ้างอิงให้เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ได้ทราบเหมือนกับคนทุกคนต้องมีชื่อให้คนอื่นเรียก หมายเลขอ้างอิงดังกล่าวเราเรียกว่า IP Address หรือหมายเลข IP หรือบางทีก็เรียกว่า "แอดเดรส IP" (IP ในที่นี้ก็คือ Internet Protocol ตัวเดียวกับใน TCP/IP นั่นเอง) ซึ่งถูกจัดเป็นตัวเลขชุดหนึ่งขนาด 32 บิต ใน 1 ชุดนี้จะมีตัวเลขถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 8 บิตเท่าๆ กัน เวลาเขียนก็แปลงให้เป็นเลขฐานสิบ ก่อนเพื่อความง่ายแล้วเขียนโดยคั่นแต่ละส่วนด้วยจุด ดังนั้นในตัวเลขแต่ละส่วนนี้จึงมีค่าได้ตั้งแต่ 0 จนถึง 28 -1 = 255 เท่านั้น เช่น 192.10.1.101 เป็นต้น ตัวเลข IP Address ชุดนี้จะเป็นสิ่งที่สำคัญคล้ายเบอร์โทรศัพท์ที่เรามีใช้อยู่และไม่ซ้ำกัน เพราะสามารถกำหนดเป็นตัวเลขได้รวมทั้งสิ้นกว่า 4 พันล้านเลขหมาย แต่การกำหนดให้คอมพิวเตอร์มีเลขหมาย IP Address นี้ไม่ได้เริ่มต้นจากหมายเลข 1 และนับขึ้นไปเรื่อยๆ หากแต่จะมีการจัด แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนแรกเป็นหมายเลขของเครือข่าย (Network Number)
ส่วนที่สองเรียกว่าหมายเลขของคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในเครือข่ายนั้น (Host Number) เพราะในเครือข่ายใดๆ อาจจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่ออยู่ได้มากมาย ในเครือข่ายที่อยู่คนละระบบอาจมีหมายเลข Host ซ้ำกันก็ได้ แต่เมื่อรวมกับหมายเลข Network แล้ว จะได้เป็น IP Address ที่ไม่ซ้ำกันเลย


ในการจัดตั้งหรือกำหนดหมายเลข IP Address นี้ก็มีวิธีการกำหนดที่ชัดเจน และมีกฎเกณฑ์ที่รัดกุม ผู้ใช้ที่อยากจัดตั้งโฮสต์คอมพิวเตอร์ เพื่อเชื่อมต่อเข้าอินเตอร์เน็ต และให้บริการต่างๆ สามารถขอหมายเลข IP Address ได้ที่หน่วยงาน Internet Network Information Center (InterNIC) ขององค์กร Network Solution Incorporated (NSI) ที่รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา แต่ถ้าผู้ใช้สมัครเข้าเป็นสมาชิกขอ ใช้บริการอินเตอร์เน็ตจากบริษัทผู้ให้บริการ (Internet Service Provider) เรียกย่อๆ ว่าหน่วยงาน ISPรายใดก็แล้วแต่ ก็ไม่ต้องติดต่อขอ IP Address เนื่องจากหน่วยงาน ISP เหล่านั้นจะกำหนดหมายเลข IP ให้ใช้ หรือส่งค่า IP ชั่วคราวให้ใช้งาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบการขอใช้บริการที่จะกล่าวต่อไป


โครงสร้างของแอดเดรสที่ใช้ใน classต่างๆของเครือข่าย ซึ่งทั้งหมด ยาว 32 บิต IP Address นี้มีการจัดแบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 ระดับ (Class) แต่ที่ใช้งานในทั่วไปจะมีเพียง 3 ระดับคือ Class A, Class B, Class C ซึ่งก็แบ่งตามขนาดความใหญ่ ของเครือข่ายนั่นเอง ถ้าเครือข่ายใดมีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร เชื่อมต่ออยู่มาก ก็จะมีหมายเลขอยู่ใน Class A ถ้ามีจำนวนเครื่องต่ออยู่ลดหลั่นกันลงมาก็จะอยู่ใน Class B และ Class C ตามลำดับ หมายเลข IP ของ Class A มีตัวแรกเป็น 0 และหมายเลขของเครือข่าย (Network Number) ขนาด 7 บิต และ มีหมายเลขของเครื่องคอมพิวเตอร์ (Host Number) ขนาด 24 บิต ทำให้ในหนึ่งเครือข่ายของ Class A สามารถมีคอมพิวเตอร ์เชื่อมต่ออยู่ในเครือข่ายได้ถึง 224= 16 ล้านเครื่อง เหมาะสำหรับองค์กร หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ใน Class A นี้ จะมีหมายเลข เครือข่ายได้ 128 ตัวเท่านั้นทั่วโลก ซึ่งหมายความว่าจะมีเครือข่ายยักษ์ใหญ่แบบนี้ได้เพียง 128 เครือข่ายเท่านั้น สำหรับ Class B จะมีหมายเลขเครือข่ายแบบ 14 บิต และหมายเลขเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ 16 บิต (ส่วนอีก 2 บิตที่เหลือบังคับว่าต้องขึ้นต้นด้วย 102) ดังนั้นจึงสามารถมีจำนวนเครือข่ายที่อยู่ใน Class B ได้มากกว่า Class A คือมีได้ถึง 214 = กว่า 16,000 เครือข่าย และก็สามารถมีเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกันในเครือข่าย Class B แต่ละเครือข่ายได้ถึง 216 หรือมากกว่า 65,000 เครื่อง สุดท้ายคือ Class C ซึ่งมีหมายเลขเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ 8 บิตและมีหมายเลขเครือข่ายแบบ 21 บิต ส่วนสามบิตแรกบังคับว่าต้องเป็น 1102 ดังนั้นใน แต่ละเครือข่าย Class C จะมีจำนวนเครื่องต่อเชื่อมได้เพียงไม่เกิน 254 เครื่องในแต่ละเครือข่าย (28 = 256 แต่หมายเลข 0 และ 255 จะไม่ถูกใช้งาน จึงเหลือเพียง 254) ดังนั้นวิธีการสังเกตได้ง่ายๆ ว่าเราเชื่อมต่ออยู่ที่เครือข่าย Class ใดก็สามารถดูได้จาก IP Address ในส่วนหน้า (ส่วน Network Address) โดย


Class A จะมี Network address ตั้งแต่ 0 ถึง 127 (บิตแรกเป็น 0 เสมอ)
Class B จะมี Network address ตั้งแต่ 128 ถึง 191 (เพราะขึ้นต้นด้วย 102 เท่านั้น)
Class C จะมี Network address ตั้งแต่ 192 ถึง 223 (เพราะขึ้นต้นด้วย 1102 เท่านั้น)


เช่น ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ในอินเตอร์เน็ตมีหมายเลข IP ดังนี้ 181.11.82.22 ตัวเลข 181.11 แสดงว่าเป็นเครือข่ายใน Class B ซึ่งหมายเลขเครือข่ายเต็มๆ จะใช้ 2 ส่วนแรกคือ 181.11 และมีหมายเลขคอมพิวเตอร์คือ 82.22 หรือถ้ามี IP Address เป็น 192.131.10.101 ทำให้ทราบว่าเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเชื่อมต่ออยู่ใน Class C มีหมายเลขเครือข่ายคือ 3 ส่วนแรก ได้แก่ 192.131.10 และหมายเลขประจำ เครื่องคือ 101 เป็นต้น



Domain Name System (DNS)

เราทราบแล้วว่าการติดต่อกันในอินเตอร์เน็ตซึ่งใช้โปรโตคอล TCP/IP คุยกัน โดยจะต้องมีหมายเลข IP ในการอ้างอิงเสมอ แต่หมายเลข IP นี้ถึงแม้จะจัดแบ่งเป็นส่วนๆ แล้วก็ยังมีอุปสรรคในการที่ต้องจดจำ ถ้าเครื่องที่อยู่ในเครือข่ายมีจำนวนมากขึ้น การจดจำหมายเลข IP ดูจะเป็นเรื่องยาก และอาจสับสนจำผิดได้ แนวทางแก้ปัญหาคือการตั้งชื่อหรือตัวอักษรขึ้นมาแทนที่หมายเลข IP น่าจะสะดวกในการจดจำมากกว่า เช่น หมายเลข IP คือ 203.78.105.4 แทนที่ด้วยชื่อ thaigoodview.com ผู้ใช้บริการสามารถ จดจำชื่อ thaigoodview.com ได้แม่นยำกว่า นอกจากนี้ในกรณีเครื่องเสีย หรือต้องการเปลี่ยนแปลงเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่ให้บริการ จากเครื่องที่มีหมายเลข IP 203.78.105.4 เป็น 203.78.104.9 ผู้ดูแลระบบจะจัดการ แก้ไขฐานข้อมูลให้เครื่องใหม่มีชื่อแทนที่เครื่อง เดิมได้ทันที โดยไม่ต้องโยกย้ายฮาร์ดแวร์แต่อย่างใด ส่วนในมุมมองของผู้ใช้ ก็ไม่ต้องแก้ไขอะไรทั้งสิ้น ยังคงสามารถใช้งานได้เหมือนเดิม


สำหรับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ได้มีการพัฒนากลไกการแทนที่ชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการกับหมายเลข IP หรือ name-to-IP Address ขึ้นมาใช้งานและเรียกกลไกนี้ว่า Domain Name System (DNS) โดยมีการจัดเก็บฐานข้อมูลชื่อและหมายเลข IP เป็นลำดับชั้น (hierachical structure) อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่พิเศษที่เรียกว่า Domain Name Server หรือ Name Server โครงสร้างของฐานข้อมูล Domain Name นี้ ในระดับบนสุดจะมีความหมายบอกถึง ประเภทขององค์กร หรือชื่อประเทศที่เครือข่ายตั้งอยู่ ชื่อ Domain ในชั้นบนสุดเหล่านี้จะใช้ตัวอักษรเล็กหรือใหญ่ก็ได้ แต่นิยมใช้อักษรตัวเล็ก โดยมีการกำหนดมาจากหน่วยงานที่เรียกว่า InterNIC (Internet Network Information Center) จากระดับบนสุดก็จะมีระดับล่างๆ ลงมาซึ่งใช้แทนความหมายต่างๆ แล้วแต่ผู้จัดตั้งจะ กำหนดขึ้น เช่น ตั้งตามชื่อคณะ หรือภาควิชาในมหาวิทยาลัย ตั้งตามชื่อฝ่ายหรือแผนกในบริษัท เป็นต้น แต่ละระดับจะถูกแบ่งคั่นด้วยเครื่องหมายจุดเสมอ การดูระดับจากบนลงล่างให้ดูจากด้านขวามาซ้าย เช่นชื่อ Domain คือ support.skynet.com จะได้ว่า com จะเป็นชื่อ Domain ในระดับบนสุด ถัดจากจุดตั้งต้น หรือรากของโครงสร้าง (root) ระดับที่สองคือชื่อ skynet และระดับล่างสุดคือ support หมายความว่า ชื่อ Domain นี้ แทนที่หน่วยงาน support ของบริษัทชื่อ skynet และเป็นบริษัทเอกชน ดังแสดงโครงสร้างลำดับชั้นของ Domian Name ที่ชื่อ Support.skynet.com


ในการกำหนดหรือตั้งชื่อแทนหมายเลข IP นี้จะต้องลงทะเบียนและขอใช้ที่หน่วยงาน InterNIC เสียก่อน ถ้าได้รับอนุญาตและลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะมีการจัดเก็บเพิ่มฐานข้อมูล name-to-IP address เพื่อให้ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตสามารถ อ้างอิงเข้ามาใช้บริการได้ เหมือนกับการขอจดทะเบียนตั้งชื่อบริษัท ที่ต้องมีผู้รับผิดชอบในการเก็บข้อมูลเป็นนายทะเบียนและคอยตรวจ ดูว่าชื่อนั้นจะซ้ำกับคนอื่นหรือไม่ ถ้าไม่มีปัญหาก็อนุญาตให้ใช้ได้ ชื่อ Domain Name นี้จะมีความยาวทั้งหมดไม่เกิน 255 ตัวอักษร แต่ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องระดับชั้น ดังนั้นในชื่อหนึ่งๆ อาจมีหลายระดับได้ตามต้องการ และข้อสังเกตที่สำคัญก็คือชื่อ และจุดเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับจุดใน ตัวเลขที่เป็น IP Address แต่อย่างใด ขบวนการหรือกลไกในการแปลงชื่อ Domain กลับเป็นหมายเลข IP หรือ Name Mapping นี้อยู่ที่การ จัดการฐานข้อมูล Domain Name แบบกระจาย โดยจะเริ่มจากเมื่อมีโปรแกรมอ้างถึงชื่อโดเมนบนเครื่องหนึ่ง ก็จะมีการสอบถามไปที่ฐานข้อมูล ในเครื่องที่ทำหน้าที่เป็น Name Server (ซึ่งอาจเป็นเครื่องเดียวกันนั้นเองหรือคนละเครื่องก็ได้ และอาจมี Name Server ได้หลายเครื่องด้วย ขึ้นกับว่าจะตั้งไว้ให้รู้จัก Name Server เครื่องใดบ้าง) เครื่องที่เป็น Name Server ก็จะเรียกดูในฐานข้อมูลและถ้าพบชื่อที่ต้องการก็จะจัดการแปลงชื่อ Domain เป็นหมายเลข IP ที่ถูกต้องให้ ระบบ Name Server นี้จะมีติดตั้งกระจายไปในหลายเครื่องบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เนื่องจากอย่างน้อยหน่วยงาน ISP หนึ่งๆ ก็จะต้องจัดตั้งระบบดังกล่าวขึ้นมา เพื่อคอยดูแลจัดการฐานข้อมูล Domain Name ของเครือข่ายตนเอง ดังนั้นถ้า Name Server เครื่องหนึ่งไม่มีข้อมูลหรือไม่รู้จัก Domain Name ที่ถูกถามมาก็อาจจะไปขอข้อมูลจาก Name Server เครื่องอื่นๆ ที่ตนรู้จักจนกว่าจะพบ หรือจนกว่าจะทั่วแล้วไม่ปรากฏว่ามีเครื่องไหนรู้จักเลย กรณีนี้ก็จะตอบไปว่าไม่รู้จัก (หรือถ้ามี Name Server บางเครื่องที่รู้จักชื่อนั้นแต่ขณะนั้น เกิดขัดข้องอยู่ก็จะได้คำตอบว่าไม่มีเครื่องใดรู้จักเช่นกัน)


การกำหนดชื่อผู้ใช้และชื่อ Domain

ความสามารถของ Domain Name System ที่ทำหน้าที่แปลงระบบชื่อให้เป็นหมายเลข IP นี้ ได้ถูกนำมาใช้กว้างขวางมากขึ้น โดยรวมไปถึงการกำหนดชื่อผู้ใช้ในระบบได้อีกด้วย กฎเกณฑ์ในการกำหนดก็ไม่ยุ่งยาก โดยชื่อผู้ใช้จะมีรูปแบบดังนี้ ชื่อ_user @ ชื่อ_subdomain. ชื่อ_Subdomain... [...] . ชื่อ_Domain ชื่อ_user จะเป็นตัวอักษรแทนชื่อเฉพาะใดๆ เช่น ชื่อผู้ใช้คนหนึ่งที่จะรับหรือส่ง E-mail ท้ายชื่อ user นี้จะมีเครื่องหมาย @ ซึ่งอ่านว่า "แอท" หมายถึง "อยู่ที่เครื่อง..." แบ่งคั่นออกจากส่วนที่เหลือ ชื่อ_Subdomain เป็นส่วนย่อยที่จะใช้ขยายให้ทราบถึงกลุ่มต่างๆ ใน domain นั้น เช่น กรณีที่บริษัทมีหลายหน่วยงาน จึงจัดเป็นกลุ่มๆ ตั้งชื่อไว้อยู่ใน subdomain ต่างๆ ซึ่งในที่หนึ่งๆ อาจจะมี subdomain หลายระดับก็ได้ และชื่อ subdomain ตัวสุดท้ายมักเป็นชื่อโฮสต์คอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้รายนั้นใช้อยู่นั่นเอง ชื่อ_Domain ตามปกติชื่อ domain จะอยู่ทางด้านขวาสุดของชื่อ DNS ใช้สำหรับระบุประเภทของกิจกรรมของเครือข่ายนั้นๆ เวลาที่มีการติดต่อกัน เช่น ในการส่ง E-mail ชื่อดังกล่าวนี้ก็จะใช้เป็นตัวอ้างอิงเสมือนชื่อและที่อยู่ของผู้ใช้รายนั้นๆ หรือเรียกว่าเป็น E-mail address นั่นเอง

อินเตอร์เน็ตประกอบไปด้วยเครือข่ายย่อยจำนวนมากต่อเชื่อมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเครือข่ายขนาดมหึมา เครือข่ายย่อยในอินเตอร์เน็ตมักเป็นเครือข่ายเฉพาะบริเวณ (Local Area Network)ที่อาจใช้เทคโนโลยี ทางฮาร์ดแวร์ในเครือข่ายแตกต่างกันไปแต่ซอฟต์แวร์ในเครือข่ายจะทำงานภายใต้หลักสากลทำให้ทุกเครือข่ายสามารถ แลกเปลี่ยนและส่งผ่านข้อมูลระหว่างกันได้ การส่งข้อมูลระหว่างเครื่องต้องมีการกำหนดชื่อผู้รับผู้ส่งในทำนองเดียวกับ การส่งจดหมายทางไปรษณีย์ คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในอินเตอร์เน็ตต้องมีหมายเลขประจำตัวผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจึงจำเป็นต้อง ทราบถึงวิธีการเรียกชื่อเครื่องดังที่จะกล่าวนี้

1. หมายเลขอินเตอร์เน็ต (IP Address)
หมายเลขอินเตอร์เน็ตหรือ IP Address จะเป็นรหัสประจำตัวของคอมพิวเตอร์ ที่ต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ต โดยหมายเลขนี้จะมีรหัสไม่ซ้ำกัน ประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด ที่คั่นด้วยเครื่องหมายจุด (.)
ตัวอย่างเช่น 203.146.188.5 จะเป็น IP Address ของเครื่อง enet.moe.go.th


2. ชื่อเครื่องอินเตอร์เน็ต (Domain Name)
ชื่อเครื่องอินเตอร์เน็ต (DNS:Domain Name Server) จะเป็นชื่อที่อ้างถึงคอมพิวเตอร์ที่ต่อเข้ากับ เครือข่ายอินเตอร์เน็ต เนื่องจาก IP Address เป็นตัวเลข 4 ชุด ที่ยากในการจดจำไม่สะดวกต่อผู้ใช้ ซึ่ง DNS นี้จะทำให้จดจำได้ง่ายขึ้น เป็น enet.moe.go.th (enet คือชื่อคอมพิวเตอร์, moe คือชื่อเครือข่ายกระทรวงศึกษาธิการ, go คือหน่วยงาน, th คือชื่อประเทศไทย)


3. ที่อยู่บนอินเตอร์เน็ตหรืออิเล็คทรอนิคส์เมล์ (E-Mail)
ที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต หรือ Internet Address จะประกอบด้วยชื่อของผู้ใช้ คอมพิวเตอร์ (User) และชื่อของอินเตอร์เน็ต (Internet Name) มีรูปแบบคือ ชื่อบัญชีผู้ใช้@ชื่อเครื่องอินเตอร์เน็ต
ตัวอย่างเช่น bumrung@enet.moe.go.th จะหมายถึงผู้ใช้ชื่อ bumrung เป็นสมาชิกของศูนย์บริการ (enet) ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์กระทรวงศึกษาธิการที่มีชื่อเป็น moe.go.th


4. ความหมายของโดเมน



com กลุ่มองค์การค้า (commercial)

edu กลุ่มการการศึกษา (educational)

gov กลุ่มองค์การรัฐบาล (govermental)

mit กลุ่มองค์การทหาร (military)

net กลุ่มองค์การบริการเครือข่าย (network Services)

org กลุ่มองค์กรอื่นๆ (Organizations)





ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าในอเมริกาเท่านั้นที่จะมีโดเมนเป็นตัวอักษร 3 ตัว microsoft.com ในกรณีที่ประเทศอื่นๆ เช่นบ้านเรา จะมีเพียงแค่สองตัวเช่น moe.go.th โดเมนที่เป็นชื่อย่อของประเทศที่น่าสนใจ
เช่น enet.moe.go.th



au ออสเตรเลีย (Australia)

fr ฝรั่งเศส (France)

hk ฮ่องกง (Hong Kong)

jp ญี่ปุ่น (Japan)

th ไทย (Thailand)

sg สิงค์โปร์ (Singapore)

uk อังกฤษ (United Kingdom)






5. ความหมายของซับโดเมน
เช่น enet.moe.go.th



go หน่วยงานรัฐบาล (govermental)

ac สถาบันการศึกษา (acadamic)

co องค์กรธุรกิจ (commercial)

or องค์กรอื่นๆ (organizations)





ในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของผู้ใช้จะเป็นแบบใดก็ตาม เช่น พีซีหรือแมคอินทอช ก็สามารถใช้งานโปรโตคอล TCP/IP เพื่อต่อเชื่อมเข้าส ู่อินเตอร์เน็ตได้ วิธีการก็คือเพียงแต่ติดตั้งใช้งานซอฟต์แวร์โปรโตคอล TCP/IP เท่านั้น ส่วนวิธีการและโปรแกรมที่ติดตั้ง จะแตกต่างกันขึ้นกับระบบที่ใช้ ซึ่งจะกล่าวต่อไป หมายเลข IP (IP Address) การสื่อสารกันในระบบเครือข่าย อินเตอร์เน็ตที่มีโปรโตคอล TCP/IP เป็นมาตรฐานนี้ เครื่องอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่ออยู่ จะต้องมีหมายเลขประจำตัวเอาไว้อ้างอิงให้เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ได้ทราบเหมือนกับคนทุกคนต้องมีชื่อให้คนอื่นเรียก หมายเลขอ้างอิงดังกล่าวเราเรียกว่า IP Address หรือหมายเลข IP หรือบางทีก็เรียกว่า "แอดเดรส IP" (IP ในที่นี้ก็คือ Internet Protocol ตัวเดียวกับใน TCP/IP นั่นเอง) ซึ่งถูกจัดเป็นตัวเลขชุดหนึ่งขนาด 32 บิต ใน 1 ชุดนี้จะมีตัวเลขถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 8 บิตเท่าๆ กัน เวลาเขียนก็แปลงให้เป็นเลขฐานสิบ ก่อนเพื่อความง่ายแล้วเขียนโดยคั่นแต่ละส่วนด้วยจุด ดังนั้นในตัวเลขแต่ละส่วนนี้จึงมีค่าได้ตั้งแต่ 0 จนถึง 28 -1 = 255 เท่านั้น เช่น 192.10.1.101 เป็นต้น ตัวเลข IP Address ชุดนี้จะเป็นสิ่งที่สำคัญคล้ายเบอร์โทรศัพท์ที่เรามีใช้อยู่และไม่ซ้ำกัน เพราะสามารถกำหนดเป็นตัวเลขได้รวมทั้งสิ้นกว่า 4 พันล้านเลขหมาย แต่การกำหนดให้คอมพิวเตอร์มีเลขหมาย IP Address นี้ไม่ได้เริ่มต้นจากหมายเลข 1 และนับขึ้นไปเรื่อยๆ หากแต่จะมีการจัด แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนแรกเป็นหมายเลขของเครือข่าย (Network Number)
ส่วนที่สองเรียกว่าหมายเลขของคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในเครือข่ายนั้น (Host Number) เพราะในเครือข่ายใดๆ อาจจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่ออยู่ได้มากมาย ในเครือข่ายที่อยู่คนละระบบอาจมีหมายเลข Host ซ้ำกันก็ได้ แต่เมื่อรวมกับหมายเลข Network แล้ว จะได้เป็น IP Address ที่ไม่ซ้ำกันเลย


ในการจัดตั้งหรือกำหนดหมายเลข IP Address นี้ก็มีวิธีการกำหนดที่ชัดเจน และมีกฎเกณฑ์ที่รัดกุม ผู้ใช้ที่อยากจัดตั้งโฮสต์คอมพิวเตอร์ เพื่อเชื่อมต่อเข้าอินเตอร์เน็ต และให้บริการต่างๆ สามารถขอหมายเลข IP Address ได้ที่หน่วยงาน Internet Network Information Center (InterNIC) ขององค์กร Network Solution Incorporated (NSI) ที่รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา แต่ถ้าผู้ใช้สมัครเข้าเป็นสมาชิกขอ ใช้บริการอินเตอร์เน็ตจากบริษัทผู้ให้บริการ (Internet Service Provider) เรียกย่อๆ ว่าหน่วยงาน ISPรายใดก็แล้วแต่ ก็ไม่ต้องติดต่อขอ IP Address เนื่องจากหน่วยงาน ISP เหล่านั้นจะกำหนดหมายเลข IP ให้ใช้ หรือส่งค่า IP ชั่วคราวให้ใช้งาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบการขอใช้บริการที่จะกล่าวต่อไป


โครงสร้างของแอดเดรสที่ใช้ใน classต่างๆของเครือข่าย ซึ่งทั้งหมด ยาว 32 บิต IP Address นี้มีการจัดแบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 ระดับ (Class) แต่ที่ใช้งานในทั่วไปจะมีเพียง 3 ระดับคือ Class A, Class B, Class C ซึ่งก็แบ่งตามขนาดความใหญ่ ของเครือข่ายนั่นเอง ถ้าเครือข่ายใดมีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร เชื่อมต่ออยู่มาก ก็จะมีหมายเลขอยู่ใน Class A ถ้ามีจำนวนเครื่องต่ออยู่ลดหลั่นกันลงมาก็จะอยู่ใน Class B และ Class C ตามลำดับ หมายเลข IP ของ Class A มีตัวแรกเป็น 0 และหมายเลขของเครือข่าย (Network Number) ขนาด 7 บิต และ มีหมายเลขของเครื่องคอมพิวเตอร์ (Host Number) ขนาด 24 บิต ทำให้ในหนึ่งเครือข่ายของ Class A สามารถมีคอมพิวเตอร ์เชื่อมต่ออยู่ในเครือข่ายได้ถึง 224= 16 ล้านเครื่อง เหมาะสำหรับองค์กร หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ใน Class A นี้ จะมีหมายเลข เครือข่ายได้ 128 ตัวเท่านั้นทั่วโลก ซึ่งหมายความว่าจะมีเครือข่ายยักษ์ใหญ่แบบนี้ได้เพียง 128 เครือข่ายเท่านั้น สำหรับ Class B จะมีหมายเลขเครือข่ายแบบ 14 บิต และหมายเลขเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ 16 บิต (ส่วนอีก 2 บิตที่เหลือบังคับว่าต้องขึ้นต้นด้วย 102) ดังนั้นจึงสามารถมีจำนวนเครือข่ายที่อยู่ใน Class B ได้มากกว่า Class A คือมีได้ถึง 214 = กว่า 16,000 เครือข่าย และก็สามารถมีเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกันในเครือข่าย Class B แต่ละเครือข่ายได้ถึง 216 หรือมากกว่า 65,000 เครื่อง สุดท้ายคือ Class C ซึ่งมีหมายเลขเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ 8 บิตและมีหมายเลขเครือข่ายแบบ 21 บิต ส่วนสามบิตแรกบังคับว่าต้องเป็น 1102 ดังนั้นใน แต่ละเครือข่าย Class C จะมีจำนวนเครื่องต่อเชื่อมได้เพียงไม่เกิน 254 เครื่องในแต่ละเครือข่าย (28 = 256 แต่หมายเลข 0 และ 255 จะไม่ถูกใช้งาน จึงเหลือเพียง 254) ดังนั้นวิธีการสังเกตได้ง่ายๆ ว่าเราเชื่อมต่ออยู่ที่เครือข่าย Class ใดก็สามารถดูได้จาก IP Address ในส่วนหน้า (ส่วน Network Address) โดย


Class A จะมี Network address ตั้งแต่ 0 ถึง 127 (บิตแรกเป็น 0 เสมอ)
Class B จะมี Network address ตั้งแต่ 128 ถึง 191 (เพราะขึ้นต้นด้วย 102 เท่านั้น)
Class C จะมี Network address ตั้งแต่ 192 ถึง 223 (เพราะขึ้นต้นด้วย 1102 เท่านั้น)


เช่น ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ในอินเตอร์เน็ตมีหมายเลข IP ดังนี้ 181.11.82.22 ตัวเลข 181.11 แสดงว่าเป็นเครือข่ายใน Class B ซึ่งหมายเลขเครือข่ายเต็มๆ จะใช้ 2 ส่วนแรกคือ 181.11 และมีหมายเลขคอมพิวเตอร์คือ 82.22 หรือถ้ามี IP Address เป็น 192.131.10.101 ทำให้ทราบว่าเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเชื่อมต่ออยู่ใน Class C มีหมายเลขเครือข่ายคือ 3 ส่วนแรก ได้แก่ 192.131.10 และหมายเลขประจำ เครื่องคือ 101 เป็นต้น



Domain Name System (DNS)

เราทราบแล้วว่าการติดต่อกันในอินเตอร์เน็ตซึ่งใช้โปรโตคอล TCP/IP คุยกัน โดยจะต้องมีหมายเลข IP ในการอ้างอิงเสมอ แต่หมายเลข IP นี้ถึงแม้จะจัดแบ่งเป็นส่วนๆ แล้วก็ยังมีอุปสรรคในการที่ต้องจดจำ ถ้าเครื่องที่อยู่ในเครือข่ายมีจำนวนมากขึ้น การจดจำหมายเลข IP ดูจะเป็นเรื่องยาก และอาจสับสนจำผิดได้ แนวทางแก้ปัญหาคือการตั้งชื่อหรือตัวอักษรขึ้นมาแทนที่หมายเลข IP น่าจะสะดวกในการจดจำมากกว่า เช่น หมายเลข IP คือ 203.78.105.4 แทนที่ด้วยชื่อ thaigoodview.com ผู้ใช้บริการสามารถ จดจำชื่อ thaigoodview.com ได้แม่นยำกว่า นอกจากนี้ในกรณีเครื่องเสีย หรือต้องการเปลี่ยนแปลงเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่ให้บริการ จากเครื่องที่มีหมายเลข IP 203.78.105.4 เป็น 203.78.104.9 ผู้ดูแลระบบจะจัดการ แก้ไขฐานข้อมูลให้เครื่องใหม่มีชื่อแทนที่เครื่อง เดิมได้ทันที โดยไม่ต้องโยกย้ายฮาร์ดแวร์แต่อย่างใด ส่วนในมุมมองของผู้ใช้ ก็ไม่ต้องแก้ไขอะไรทั้งสิ้น ยังคงสามารถใช้งานได้เหมือนเดิม


สำหรับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ได้มีการพัฒนากลไกการแทนที่ชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการกับหมายเลข IP หรือ name-to-IP Address ขึ้นมาใช้งานและเรียกกลไกนี้ว่า Domain Name System (DNS) โดยมีการจัดเก็บฐานข้อมูลชื่อและหมายเลข IP เป็นลำดับชั้น (hierachical structure) อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่พิเศษที่เรียกว่า Domain Name Server หรือ Name Server โครงสร้างของฐานข้อมูล Domain Name นี้ ในระดับบนสุดจะมีความหมายบอกถึง ประเภทขององค์กร หรือชื่อประเทศที่เครือข่ายตั้งอยู่ ชื่อ Domain ในชั้นบนสุดเหล่านี้จะใช้ตัวอักษรเล็กหรือใหญ่ก็ได้ แต่นิยมใช้อักษรตัวเล็ก โดยมีการกำหนดมาจากหน่วยงานที่เรียกว่า InterNIC (Internet Network Information Center) จากระดับบนสุดก็จะมีระดับล่างๆ ลงมาซึ่งใช้แทนความหมายต่างๆ แล้วแต่ผู้จัดตั้งจะ กำหนดขึ้น เช่น ตั้งตามชื่อคณะ หรือภาควิชาในมหาวิทยาลัย ตั้งตามชื่อฝ่ายหรือแผนกในบริษัท เป็นต้น แต่ละระดับจะถูกแบ่งคั่นด้วยเครื่องหมายจุดเสมอ การดูระดับจากบนลงล่างให้ดูจากด้านขวามาซ้าย เช่นชื่อ Domain คือ support.skynet.com จะได้ว่า com จะเป็นชื่อ Domain ในระดับบนสุด ถัดจากจุดตั้งต้น หรือรากของโครงสร้าง (root) ระดับที่สองคือชื่อ skynet และระดับล่างสุดคือ support หมายความว่า ชื่อ Domain นี้ แทนที่หน่วยงาน support ของบริษัทชื่อ skynet และเป็นบริษัทเอกชน ดังแสดงโครงสร้างลำดับชั้นของ Domian Name ที่ชื่อ Support.skynet.com


ในการกำหนดหรือตั้งชื่อแทนหมายเลข IP นี้จะต้องลงทะเบียนและขอใช้ที่หน่วยงาน InterNIC เสียก่อน ถ้าได้รับอนุญาตและลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะมีการจัดเก็บเพิ่มฐานข้อมูล name-to-IP address เพื่อให้ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตสามารถ อ้างอิงเข้ามาใช้บริการได้ เหมือนกับการขอจดทะเบียนตั้งชื่อบริษัท ที่ต้องมีผู้รับผิดชอบในการเก็บข้อมูลเป็นนายทะเบียนและคอยตรวจ ดูว่าชื่อนั้นจะซ้ำกับคนอื่นหรือไม่ ถ้าไม่มีปัญหาก็อนุญาตให้ใช้ได้ ชื่อ Domain Name นี้จะมีความยาวทั้งหมดไม่เกิน 255 ตัวอักษร แต่ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องระดับชั้น ดังนั้นในชื่อหนึ่งๆ อาจมีหลายระดับได้ตามต้องการ และข้อสังเกตที่สำคัญก็คือชื่อ และจุดเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับจุดใน ตัวเลขที่เป็น IP Address แต่อย่างใด ขบวนการหรือกลไกในการแปลงชื่อ Domain กลับเป็นหมายเลข IP หรือ Name Mapping นี้อยู่ที่การ จัดการฐานข้อมูล Domain Name แบบกระจาย โดยจะเริ่มจากเมื่อมีโปรแกรมอ้างถึงชื่อโดเมนบนเครื่องหนึ่ง ก็จะมีการสอบถามไปที่ฐานข้อมูล ในเครื่องที่ทำหน้าที่เป็น Name Server (ซึ่งอาจเป็นเครื่องเดียวกันนั้นเองหรือคนละเครื่องก็ได้ และอาจมี Name Server ได้หลายเครื่องด้วย ขึ้นกับว่าจะตั้งไว้ให้รู้จัก Name Server เครื่องใดบ้าง) เครื่องที่เป็น Name Server ก็จะเรียกดูในฐานข้อมูลและถ้าพบชื่อที่ต้องการก็จะจัดการแปลงชื่อ Domain เป็นหมายเลข IP ที่ถูกต้องให้ ระบบ Name Server นี้จะมีติดตั้งกระจายไปในหลายเครื่องบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เนื่องจากอย่างน้อยหน่วยงาน ISP หนึ่งๆ ก็จะต้องจัดตั้งระบบดังกล่าวขึ้นมา เพื่อคอยดูแลจัดการฐานข้อมูล Domain Name ของเครือข่ายตนเอง ดังนั้นถ้า Name Server เครื่องหนึ่งไม่มีข้อมูลหรือไม่รู้จัก Domain Name ที่ถูกถามมาก็อาจจะไปขอข้อมูลจาก Name Server เครื่องอื่นๆ ที่ตนรู้จักจนกว่าจะพบ หรือจนกว่าจะทั่วแล้วไม่ปรากฏว่ามีเครื่องไหนรู้จักเลย กรณีนี้ก็จะตอบไปว่าไม่รู้จัก (หรือถ้ามี Name Server บางเครื่องที่รู้จักชื่อนั้นแต่ขณะนั้น เกิดขัดข้องอยู่ก็จะได้คำตอบว่าไม่มีเครื่องใดรู้จักเช่นกัน)


การกำหนดชื่อผู้ใช้และชื่อ Domain

ความสามารถของ Domain Name System ที่ทำหน้าที่แปลงระบบชื่อให้เป็นหมายเลข IP นี้ ได้ถูกนำมาใช้กว้างขวางมากขึ้น โดยรวมไปถึงการกำหนดชื่อผู้ใช้ในระบบได้อีกด้วย กฎเกณฑ์ในการกำหนดก็ไม่ยุ่งยาก โดยชื่อผู้ใช้จะมีรูปแบบดังนี้ ชื่อ_user @ ชื่อ_subdomain. ชื่อ_Subdomain... [...] . ชื่อ_Domain ชื่อ_user จะเป็นตัวอักษรแทนชื่อเฉพาะใดๆ เช่น ชื่อผู้ใช้คนหนึ่งที่จะรับหรือส่ง E-mail ท้ายชื่อ user นี้จะมีเครื่องหมาย @ ซึ่งอ่านว่า "แอท" หมายถึง "อยู่ที่เครื่อง..." แบ่งคั่นออกจากส่วนที่เหลือ ชื่อ_Subdomain เป็นส่วนย่อยที่จะใช้ขยายให้ทราบถึงกลุ่มต่างๆ ใน domain นั้น เช่น กรณีที่บริษัทมีหลายหน่วยงาน จึงจัดเป็นกลุ่มๆ ตั้งชื่อไว้อยู่ใน subdomain ต่างๆ ซึ่งในที่หนึ่งๆ อาจจะมี subdomain หลายระดับก็ได้ และชื่อ subdomain ตัวสุดท้ายมักเป็นชื่อโฮสต์คอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้รายนั้นใช้อยู่นั่นเอง ชื่อ_Domain ตามปกติชื่อ domain จะอยู่ทางด้านขวาสุดของชื่อ DNS ใช้สำหรับระบุประเภทของกิจกรรมของเครือข่ายนั้นๆ เวลาที่มีการติดต่อกัน เช่น ในการส่ง E-mail ชื่อดังกล่าวนี้ก็จะใช้เป็นตัวอ้างอิงเสมือนชื่อและที่อยู่ของผู้ใช้รายนั้นๆ หรือเรียกว่าเป็น E-mail address นั่นเอง

อินเตอร์เน็ตประกอบไปด้วยเครือข่ายย่อยจำนวนมากต่อเชื่อมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเครือข่ายขนาดมหึมา เครือข่ายย่อยในอินเตอร์เน็ตมักเป็นเครือข่ายเฉพาะบริเวณ (Local Area Network)ที่อาจใช้เทคโนโลยี ทางฮาร์ดแวร์ในเครือข่ายแตกต่างกันไปแต่ซอฟต์แวร์ในเครือข่ายจะทำงานภายใต้หลักสากลทำให้ทุกเครือข่ายสามารถ แลกเปลี่ยนและส่งผ่านข้อมูลระหว่างกันได้ การส่งข้อมูลระหว่างเครื่องต้องมีการกำหนดชื่อผู้รับผู้ส่งในทำนองเดียวกับ การส่งจดหมายทางไปรษณีย์ คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในอินเตอร์เน็ตต้องมีหมายเลขประจำตัวผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจึงจำเป็นต้อง ทราบถึงวิธีการเรียกชื่อเครื่องดังที่จะกล่าวนี้

1. หมายเลขอินเตอร์เน็ต (IP Address)
หมายเลขอินเตอร์เน็ตหรือ IP Address จะเป็นรหัสประจำตัวของคอมพิวเตอร์ ที่ต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ต โดยหมายเลขนี้จะมีรหัสไม่ซ้ำกัน ประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด ที่คั่นด้วยเครื่องหมายจุด (.)
ตัวอย่างเช่น 203.146.188.5 จะเป็น IP Address ของเครื่อง enet.moe.go.th


2. ชื่อเครื่องอินเตอร์เน็ต (Domain Name)
ชื่อเครื่องอินเตอร์เน็ต (DNS:Domain Name Server) จะเป็นชื่อที่อ้างถึงคอมพิวเตอร์ที่ต่อเข้ากับ เครือข่ายอินเตอร์เน็ต เนื่องจาก IP Address เป็นตัวเลข 4 ชุด ที่ยากในการจดจำไม่สะดวกต่อผู้ใช้ ซึ่ง DNS นี้จะทำให้จดจำได้ง่ายขึ้น เป็น enet.moe.go.th (enet คือชื่อคอมพิวเตอร์, moe คือชื่อเครือข่ายกระทรวงศึกษาธิการ, go คือหน่วยงาน, th คือชื่อประเทศไทย)


3. ที่อยู่บนอินเตอร์เน็ตหรืออิเล็คทรอนิคส์เมล์ (E-Mail)
ที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต หรือ Internet Address จะประกอบด้วยชื่อของผู้ใช้ คอมพิวเตอร์ (User) และชื่อของอินเตอร์เน็ต (Internet Name) มีรูปแบบคือ ชื่อบัญชีผู้ใช้@ชื่อเครื่องอินเตอร์เน็ต
ตัวอย่างเช่น bumrung@enet.moe.go.th จะหมายถึงผู้ใช้ชื่อ bumrung เป็นสมาชิกของศูนย์บริการ (enet) ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์กระทรวงศึกษาธิการที่มีชื่อเป็น moe.go.th


4. ความหมายของโดเมน



com กลุ่มองค์การค้า (commercial)

edu กลุ่มการการศึกษา (educational)

gov กลุ่มองค์การรัฐบาล (govermental)

mit กลุ่มองค์การทหาร (military)

net กลุ่มองค์การบริการเครือข่าย (network Services)

org กลุ่มองค์กรอื่นๆ (Organizations)


ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าในอเมริกาเท่านั้นที่จะมีโดเมนเป็นตัวอักษร 3 ตัว microsoft.com ในกรณีที่ประเทศอื่นๆ เช่นบ้านเรา จะมีเพียงแค่สองตัวเช่น moe.go.th โดเมนที่เป็นชื่อย่อของประเทศที่น่าสนใจ
เช่น enet.moe.go.th



au ออสเตรเลีย (Australia)

fr ฝรั่งเศส (France)

hk ฮ่องกง (Hong Kong)

jp ญี่ปุ่น (Japan)

th ไทย (Thailand)

sg สิงค์โปร์ (Singapore)

uk อังกฤษ (United Kingdom)


5. ความหมายของซับโดเมน
เช่น enet.moe.go.th

go หน่วยงานรัฐบาล (govermental)

ac สถาบันการศึกษา (acadamic)

co องค์กรธุรกิจ (commercial)

or องค์กรอื่นๆ (organizations)

ความรู้เบื้องต้นของอินเตอร์เนต

ตอนที่1 ประวัติความเป็นมา           อินเทอร์เน็ต (Internet) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งเริ่มก่อตั้งโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา อินเทอร์เน็ตในยุคแรกๆ ประมาณปี พ.ศ. 2512 เป็นเพียงการนำคอมพิวเตอร์จำนวนไม่กี่เครื่องมาเชื่อมต่อกัน โดยสายส่งสัญญาณเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ ภารกิจหลักเพื่อใช้ในงานวิจัยทางทหาร โดยใช้ชื่อว่า "อาร์ปา" (ARPA : Advanced Research Project Agency) รูปแบบเครือข่ายอาร์พาเน็ตไม่ได้ต่อเชื่อมโฮสต์ (Host) คอมพิวเตอร์เข้าถึงกันโดยตรง หากแต่ใช้คอมพิวเตอร์ เรียกว่า IMP ( Interface Message Processors ) ต่อเชื่อมถึงกันทางสาย โทรศัพท์เพื่อทำหน้าที่ด้านสื่อสารโดยเฉพาะ ซึ่งแต่ละ IMP สามารถเชื่อมได้หลายโฮสต์



กำเนิดอาร์พาเน็ต วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2512 ได้มีการทดลองเชื่อมโยง IMP ระหว่างมหาวิทยาลัย 4 แห่งโดยมีโฮสต์ต่างชนิดกันที่ใช้ในระบบปฏิบัติการต่างกัน คือ

1. มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แห่ง ลอส แอนเจลิส ใช้เครื่อง SDS Sigma 7 ภายใต้ระบบปฏิบัติ การ SEX ( Sigma EXecutive )
2. สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด ใช้เครื่อง SDS 940 และระบบปฏิบัติการ Genie
3. มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แห่ง ซานตา บาร์บารา มีเครื่อง IBM 360/75 ทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการ OS/MVT
4. หาวิทยาลัยยูทาห์ ที่ซอลต์เลคซิตี้ ใช้เครื่อง DEC PDP-10 ภายใต้ระบบปฏิบัติการ Tenex

ปี 2515 หลังจากที่เครือข่ายทดลองอาร์พา ประสบความสำเร็จ ก็ได้มีการปรับปรุงหน่วยงานจาก อาร์ปา มาเป็น ดาร์พา DARPA (Defense Advanced Research Projects Agency) ตอนหลังเปลี่ยนเป็น Defence Communication Agency ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency

ในปี 2526 อาร์ปาเน็ตได้แบ่งเป็น 2 เครือข่าย ด้านงานวิจัยใช้ชื่อว่า อาร์ปาเน็ต เหมือนเดิม ส่วนเครือข่ายของกองทัพใช้ชื่อ มิลเน็ต (MILNET: Military Network) ซึ่งมีการเชื่อมต่อโดยใช้โปรโตคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/ Internet Protocol) เป็นครั้งแรก

ในปี 2528 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติอเมริกา (NSF) ได้ให้เงินทุนในการสร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 6 แห่ง และใช้ชื่อว่า NSFNET

และในปี 2533 อาร์ปาเนตไม่สามารถที่จะรองรับภาระที่เป็นเครือข่ายหลัก (Backbone) ของระบบได้ อาร์ปาเน็ตจึงได้ยุติลงและเปลี่ยนไปใช้ NSFNET และเครือข่ายอื่นๆ แทน มาจนเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ โดยเรียกเครือข่ายว่า อินเทอร์เน็ต (Internet) โดยเครือข่าย ส่วนใหญ่จะอยู่ในอเมริกา และปัจจุบันนี้มีเครือข่ายย่อยมากมายทั่วโลก



อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย

             อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยการเชื่อมต่อมินิคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ไปยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย แต่ในครั้งนั้นยังเป็นการเชื่อมต่อโดยผ่านสายโทรศัพท์ ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้ช้าและไม่เป็นการถาวร
             จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้ทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับมหาวิทยาลัย 6 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT), มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, สถาบันเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC), มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้าด้วยกันเรียกว่า "เครือข่ายไทยสาร" โดยสำนักวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 9600 บิตต่อวินาที จากการสื่อสารแห่งประเทศไทย เพื่อเชื่อมเข้าสู่อินเทอร์เน็ตที่ "บริษัท ยูยูเน็ตเทคโนโลยี ประเทศสหรัฐอเมริกา"

ในปี พ.ศ. 2536 NECTEC ได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 64 กิโลบิตต่อวินาทีจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยเพื่อ เพิ่มความสามารถในการขนส่งข้อมูล ทำให้ประเทศไทยมีวงจรสื่อสารระดับ ที่ให้บริการแก่ผู้ใช้ไทยสารอินเทอร์เน็ต 2 วงจร ในปัจจุบันวงจรเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ NECTEC ได้รับการปรับปรุงให้มีความ เร็วสูงขึ้นตามลำดับ นับตั้งแต่นั้นมาเครือข่ายไทยสารได้ขยายตัวกว้างขึ้น และมีหน่วยงานอื่นเชื่อมเข้ากับ ไทยสารอีกหลายแห่งในช่วงต่อมา
เครือข่ายไทยสารเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมหาวิทยาลัยและหน่วยงานราชการเข้ามาเชื่อมต่อกับเครือข่ายนี้เพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก จะเห็นได้ว่าอินเทอร์เน็ตในประเทศขณะนั้นยังจำกัดอยู่ในวงการศึกษาและการวิจัยเท่านั้น ไม่ได้เป็นเครือข่ายที่ให้บริการในรูปของธุรกิจ แต่ทางสถาบันนั้นๆ จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2537 ความต้องการในการใช้อินเทอร์เน็ตจากภาคเอกชนมีมากขึ้น การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) จึงได้ร่วมมือกับบริษัทเอกชน เปิดบริการอินเทอร์เน็ตให้แก่บุคคลผู้สนใจทั่วไปได้สมัครเป็นสมาชิก ตั้งขึ้นในรูปแบบของบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ เรียกว่า "ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต" หรือ ISP (Internet Service Provider)
ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตจะถูกส่งผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และระบบการสื่อสารซึ่งในแต่ละพื้นที่ หรือแต่ละประเทศซึ่งจะต้องรับผิดชอบกันเอง เพื่อเชื่อมต่อกับระบบใหญ่ของโลกให้ได้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ซึ่งได้แก่ องค์กรที่ทำหน้าที่ให้บริการเชื่อมต่อสายสัญญาณจากแหล่งต่างๆ ของผู้ใช้บริการ เช่น จากที่บ้าน สำนักงาน สถานบริการ และแหล่งอื่นๆ เพื่อเชื่อมต่อกับระบบใหญ่ออกไปนอกประเทศได้


แหล่งข้อมูล http://www.lms.dmw.ac.th/internet/

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ศัพท์วัยรุ่น 2

ศัพท์วัยรุ่น (ต่อ)

เทพ = เก่งมาก

โหล่ = ใช้แทนคำว่า ตลก, ฮา เช่น โหล่มากเลย อะไรประมาณนี้

ลูกกะเบ๊ = ก็เบ๊นั่นแหละ

จึ๊ก = มันจึ๊กอะ เช่น ดูTVอยู่แล้วไฟดับ มันจะรู้สึกจึ๊กอะ มีอะไรมาขัดจังหวะ แบบนี้วืด = พลาด

ปวดขี้เลยว่ะ = อาการประมานเซ็งๆ จนถึงขั้นเซ็งมากกกกกกกกกก

เข้าวิน = อาการ กกน. เข้าร่องค่ะ T//////Tโอ้วว!

ปาดดดด = คำอุทานของท่านเทพอ่ะ

ซุย = ขี้โม้ พูดมาก

ไปเย้ = ก้ไปเข้าห้องน้ำ ก้เย้ มาจาก เห.ยวนะ - -"

เสยตูด = คนเตะเสยขึ้น เป็นไงคำนี้ใช้บ่อย

กลวง = ไร้ความคิด ไม่มีความสามารถในด้านวิชาการ

เควี้ย = เอ่อ ก้ อ่านะ ควาย + เหย - -^

,Ohh... = เป็นตัวอย่างคำสบถไม่สุภาพไว้ใช้เวลาเครียดจัดๆ

ด๋อย..../อ่อน...... = มันเป็นคำด่าที่ไม่แรงมาก

เกรียน = นิสัยไม่ดีสุดๆ + ถ้าเจอให้ตบทันที

เทพ = มันเป็นคำชม หรือด่าก็ได้ กรุณาดูบริบทรอบข้างคำพูดนั้นๆ

เทพเกรียน.....555+ พวกนี้ต้อง ล้างโคตร อย่าให้มันขยายพันธุ์

noob (นูป) = พวกมือใหม่ พวกที่ทำอะไรไม่ได้เรื่อง

หัว เกรียน = ใช้เรียกการกระทำที่ดูไร้สาระ ทำแล้วไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา หรือใช้เรียก พวกที่ก่อกวนคนอื่นหรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน

โอโม่ = ใช้เรียกผู้หญิงที่ขาวมาก ๆ

ชะนี = ใช้เรียกผู้หญิงที่แต่งตัวจัด ๆ โป๊ ๆ แรง ๆ

เด็ก ญี่ปุ่น = ใช้เรียกเด็กนักเรียน ญ ที่เรียนพวกโรงเรียนพาณิชย์ อาชีวะ เทคนิค ประมาณว่า แต่งตัวญี่ปุ่น ขาดำ ตัวดำ แต่หน้าขาว ปากแดงเพราะน้ำยาอุทัยทิพย์

Moody - โอ๊ย อารมณ์เสีย

ชัดเจน = เด่นแจ้ง เห็นชัด

She = คงรู้ความหมายกานอยู่

ได้อีก = ความหมายก็น่าจะรู้ๆกัน

เว่อร์ = ตรงตัว

ก่ะ-หล่ง-ก๊ง = เปิ่นๆ ,โก๊ะๆ

รั่ว = เปิ่น,ต๊อง

ติ๊ง = ติ๊งต๊อง

้่สุดตรีน = สุดใจครับพี่

ชอบ ชอบ = ตรงตัว

งานเข้า... = ได้เรื่อง หรือ มีเรื่องเดือดร้อนเข้ามา

ว่างงาน... = ไม่มีอะไรทำ เช่น เพื่อนๆทำการบ้านกัน แต่เพื่อนอีกคนไม่มีอะไรมาเรียนเลย

เลาหลือ... = เซ้าซี้ วุ่นวาย เจ๊าะแจ๊ะ น่ารำคาญ

อารมณ์เสีย... = ไม่ชอบ แบบ ขำ ขำ

เดี๋ยวจะโดน... = เดี๋ยวเถอะ เดี่ยวเถอะ

ไม่รู้ ห .ไม่รู้ ต. เลยเนอะ หรือ ไม่รู้เหนือไม่รู้ใต้เลย = ไม่รู้เรื่องเลยเนอะกระโหลดกระลา

มะกูดมะนาวเปรี้ยวจีด = แรงนะเธอเปรี้ยวเชียวนะ.....

กลิ่นตัวอะ = ทักกันหมู่เพื่อน

หนักใจแทนผู้ปกครอง = เหนื่อยใจแทน

รุงรัง = กวนหรือน่าลำคาญอารายอย่างเงี้ย

อย่ามาเรา = ไม่เกี่ยวข้องด้วยการใดใดทั้งสิ้น ใช้บ่อยมากมาย

ติดหรู = ไฮโซ

จิงดิ จิงดิ๊ จิงเหรอ ใช่ดิ เหรอ = ต้องพูดทีเดียวหมดนี่เลยนะ ยาวมะ 55 + แปลตรงตัว จริงซิ

หน้าไม่เนียน = แสดงไม่เก่งเลย ใช้เวลา แกล้งเพื่อนจ้า

จีซัส = ใช้เรียนผู้ชายที่น่าตาดี 55+ แปลกมะ คนนั้นจีซัสถูกมจอ่ะ 5 5+

ฟันเหล็ก เด็กแนว แบบว่า ใช้พูดกะ ญ น่ารักๆ ที่ใส่ฟันเหล็ก 55 + ตรงๆ

จิตตก - สติเเตก

สมะถุย = แย่

สมะถุยสัสๆ = แย่มากๆ

แว๊นซ์ = เวลาเดินเข้าโรงเรียนอ่ะ จามีคนอยู่ข้างหน้าจาแข่งกันแว๊นซ์ก้อแข่งเดินแซงชาวบ้านนั่นเอง

(คำ อะไรก้อได้) สั สๆ = เช่น เจอลูกหมาเงี้ย จาบอก เห้ยยย น่ารักสั สๆ เป็นต้น แสดงอาการว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ แบบว่าน่ารักม๊ากมาก เป็นต้น

เควี่ย = เอาควาย+เ้อี้ย นั่นเอง -*-

ทะโหล่= สะเหร่อ เปิ่นๆโหยว = มาจากคำว่าฮัลโหล หรือ โหล

เป็นติ่งไรเนี่ย= เป็นบ้าอะไรเนี่ย

เดี๋ยวหนูจะซุย - หนูจะลงมือ เเล้วนะค๊า หรือเล่นงาน

เเหล่มเลย - เเจ่มมากกๆ

ชีไม่สะทก = มาจากไม่สะทกสะท้าน (ด่าแล้วยังด้าน..ไรงี้)

ณ จุดนี้. = ตอนนี้....

off line = รับม่ะได้

ไม่ไหวเคลียมั่ก = คือๆกะoff line

หื่นๆ รถไฟมาเเล้วว - ผู้หญิงกำลังเดินมาจ้า

กูสด - เราเเต่งตัวเเปลกกว่าเพื่อน

เจ้ดโด้ - คำอุทาน เวลาตกใจ อิอิ

จิ๊กกะโหล - โหล่ๆ ได้ใจมากๆ

เฟค (Fake) = การสร้างจินตนาการ/การหลอกตัวเอง

สุดตีน = ที่สุดของที่สุด

โออิชิ = เกิดอาการชาตามร่างกาย

หรูไฮ = ดูดีมีฐานะ

สปก. = หนีเอาตัวรอดไปก่อนเพื่อน (***ไปก่อน)

ด๋อย = เชยๆ เสี่ยวๆ

ชิลๆ = ง่ายๆ สบายๆ

สวยเป๋อ = ผู้หญิงสวยแต่ซุ่มซ่าม

เพียวเค็ม = คนที่งกมากๆ

ชีเลส = ดี้

ฮีเลส = ทอม

สะแอ๋ง = ชอบสอดเรื่องชาวบ้าน

ตะไบ = เสริมแต่ง

สลิ่ม = สีสันเสื้อผ้าที่ตัดกันมากเช่น เขียวกับชมพู

แก่นเซี้ยวเยี่ยวราด = กะเทยที่ไม่เรียบร้อย

ฉ่ำสะมิหลา สงขลาปัตตานี แฟนตาซีภูเก็ต = เริ่ดหรูหาอะไรเปรียบไม่ได้

ช่อราษฎร์ = แย่งแฟนเพื่อน

ปาดหน้าเค้ก = แย่งผู้ชายที่คนอื่นหมายปอง

ซิซูกะ = ตะกละ

ออนป้า = แสดงความเป็นป้าสู่สายตาประชาชน

ศัพท์คุณหนู เช่น...

ฝนเริ่มตั้งเค้า = มีใจให้กันหรือตกหลุมรัก

ล็อกอิน (Login) = เชื่อมต่อ

คุณพระช่วยกล้วยทอด = คำอุทานเวลาตกใจ ขำๆ = สนุกๆ

เต่ากัดยาง = ช้ามากๆ

อย่างหรอย = รากศัพท์มาจากภาษาใต้ แปลว่าสุดยอด เยี่ยมยอด

ต๊ะต่อนหยอน = รากศัพท์มาจากภาษาเหนือ หมายถึงชิลๆ เวอร์ชั่นคำเมือง

"ศัพท์วัยรุ่น"

ศัพท์วัยรุ่นพากษ์ 1

โอ้ว!! จอร์จ มันยอดมาก .... แปลก คำอุทาน

ประหารกันดื้อๆเลย ...... รับ มุข ม่า ทะ ทะ ทัน เรย น๊า คระ

ไปล้างมุ้งลวด .......... ไปไกลๆ เรยอะ ไม่ไหวเลย

ไปขัดส้วมสิ ....... มุขเนี๊ยเค้าม่าใช้แร๊ว เอ้าแระเอามุขไปชักโครกทิ้งซ๊า

ไปบิดผ้าเลย ......... เทอร์นะขี้เกียจมากเพราะขี้เกียจที่จะบิดขี้เกียจไปด้วย รวมๆน๊า

ซะงั้น .... อ้าว ไงล่ะ

นี่หรือเมืองพุทธ ........ ปลงจนทำรัยม่าถูก

จิ่งดิ ..... ตอกย้ำความมมั่นใจ ว่าจิงเหรอ

มาแว้ว ........................... มาแร้ว

วื่นวือ ................... วุ่นวายมากๆ

ไอ๊สุยยยย... --เป็นที่รู้กันในกลุ่มว่าผู้ชายที่แต่งตัวไม่ได้เหมาะกับสถานที่
เช่น อากาศร้อนมากแต่ใส่เสื้อกันหนาวแขนยาวตัวใหญ่ๆ

จูบู้ๆ -- เจอผู้หญิงที่แต่งตัว SeXY สุดยอดดดด...

ไปเด่อ -- ...ออกไปเที่ยวกัน ถ้าเกิดออกไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วแฟนไม่ได้มาด้วย...อ๊ะ!

วันนี้โปร่ง -- ประมาณปลอดโปร่งเพราะแฟนไม่มา

ยาวไป -- เที่ยวกลางคืนจนดึกดื่นถึงเช้า

ห่าน -- สาวสวยมากๆ

จิ๊บ -- ดีใจหรือเวลาเจอหนุ่มหล่อ

จีว่า -- เวลาเห็นใครแต่งตัวหรือแสดงออกเกินความจำเป็น

miss you โคตรๆ -- คิดถึงมาก ๆๆ

เฟิร์ม -- ตกลงในการนัดหมาย

เ.ยก -- น่าเกลียด ขี้เหร่มาก

เด้ง -- น่าขาว

ขี้เม้ง -- พวกที่ชอบวีน ขี้โวยวาย ด่าเก่ง ปากจัด หน้าตาบูดบึ้ง
อิม -- มาจาก impossible หมายถึง พวกเด็กเรียน คือสามารถทำเรื่อง(เรียน)
ที่ยากๆ ที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้

ตู้ -- เด็กเรียน

อึบ -- เด็กเรียน

ทึก -- เด็กเรียน

ทำเนียน -- ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำเป็นพวกเดียวกัน ทำตัวกลมกลืน

สึม -- ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำเป็นพวกเดียวกัน ทำตัวกลมกลืน

เชิง -- พวกที่เป็นเซียนในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้

นอย -- มาจากพารานอย ก้อคือ วิตกกังวลไง

ชิว -- ทำนองดูเบลอๆ ลอยๆ

เนิบ -- สบายๆ ไม่ยุ่ง

ป๊อก -- หลับ

โปร -- คนที่เราแอบชอบ

โอ -- โอเค

ปู๊ -- แฟน

กิ๊ก -- มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน

สิ่งอัน -- ทุกสิ่งทุกอย่าง

เกิร์ป -- โง่ แบบ ควาย

เซี๊ยะ -- ยุยง

เซี๊ยว -- เพี้ยมาจากคำว่าเสี่ยว ก้อ แปลว่า เสี่ยวไง

เอ้าท์ -- เชย ตกกระแส โอ๊ย ไม่ไหวๆ

วัยรุ่นเซ็ง -- ไม่ได้ดั่งใจตัวเองหรือว่า เซรงไง แต่พูด

เทรนดี้ -- อินเทรน ทันกระแส ตามกระแส และก้อ ล้ำ มากๆด้วยแหละเทอร์

ZONE สีม่วง -- บุคคลอันตราย ดูแร้ว ไม่น่าไว้ใจ

ซับแหมน -- เหมือน HI! ไง ก้อ ทักทาย อ่า

ซับโบร๋ -- หวัดดี
สตรอเบอร์รี่ -- ก้อ ตอแหลไง คระ

กั๊ก -- แฟนของกิ๊ก .กทีนึงอะ

เบๆ -- ง่าย ๆ ทำได้ อย่างสบายๆ เรยน๊าคระ

เงือม -- งู อ่านะ

GeT -- เข้าใจ อันนี้คงได้ยินบ่อยแร๊ว สินะ

MOdIfY -- ปรับปรุง เปลียนแปลง ตรงตัวมากเรย

ปาดหน้าเค้ก -- ถูกเหยียดหยาม

FakE -- โกหก ตรงตัว .กแร๊น

HALLA -- ฮัลโหล เวลา รับ โทร อะสับ

ป๊อด -- ปอด หรือว่า ขี้กลัวอะ หรือ ประมาณ ว่าไม่กล้า

เซอ -- ติดดิน ง่ายๆ แล้วแต่ งัยก้อได้ ไม่เลิศไม่หรู เป็นคนสบายๆ เหมือนสมถะไง

เหนี่ยว -- ต่อย ทำร้ายร่างกาย

เด็กแนว -- เด็กที่ชอบทำตัตามกระแส

เซด -- พูด

WaNNaBE -- พวกจอมปลอม

NiGGa -- คุณสำลี ขาวมากๆๆ

โหนว -- หนัง X ก้อหนังอย่างว่า

ต็อกต๋อย -- กระจอก

ผีผ้าห่ม -- มี SEX

สาวก -- แฟนพันธ์แท้ หรือว่า แฟนคลับ

เตอกราย -- คงกระพันธ์

กิ๊กก๊อก -- ปัญญาอ่อน ติ๊งต๊อง ไร้สาระ ห่วยแตก

G.B. -- GENERAL เบ๊ คนรับใช้ทุกอย่าง

อัฟเฟรด -- น่าเกลียด ทุเรศ

แท่ม -- พูด

กิ๊บ -- เจ๋ง

จ๊อๆ -- แย่ๆจิงๆ

หงุ๊งหงิ๊ง -- งง

โจ๊ะ -- มัน ถ้าโจ๊ะๆ ก้อ มันๆ แบบว่าสนุกสนาน

OPTION แรง -- เครื่องแต่งตัวแพงมากๆ รวมทั้งตัวดู
แล้วอลังการ อย่างเช่น
เด็ก HIP HOP ที่แต่งตัวแบบครบๆ แบรนด์ของแท้

ตุ้ยหลิง - ติ่งเอฟฟี่ -- ผู้ชาย - ผู้หญิง
สลัมบอมเบย์ -- ต่ำสุด ๆ

ฉ่ำสมิหลา สงขลาปัตตานี แฟนตาซีภูเก็ต -- เริ่ดหรู อลังการ เวอร์สุดๆๆๆ

ไม่ใส่จิว -- ไม่ใส่ใจจริงๆ

อัลตร้าโมด้า -- อันตรายมาก ๆ

เอ็นซู -- ทำตัวน่าเอ็นดู ห่วงใย

ชิซูกะ -- ตะกละ กินไม่เลือก

แกสบี้ -- แก่มาก ๆ

เบยากู้ -- พวกผู้หญิงที่ชอบแย่งจิกผู้ชายแข่งกับกะเทย

บูยาเก้ -- ผู้ชายที่ชอบกะเทยสุด ๆ

สเมล เวลคัม -- กลิ่นเหม็น

ออนป้า -- แสดงความเป็นป้าออกสู่สายตาประชาชน

*********************************************

ถอดรหัส ศัพท์เทคนิค

  • มหัศจรรย์แห่ง bB

    b=bit (บิท) หน่วยนับพื้นฐานที่เล็กที่สุดที่คอมพิวเตอร์มองเห็น (แต่ยังไม่เข้าใจ)
    bit จะแสดงสถานะให้คอมพิวเตอร์เห็นเป็น   เปิด / ปิด  หรือ On / Off
    แต่เพื่อสื่อให้เข้าใจโดยง่ายจึงแทนสถานะเหล่านี้ด้วย  0 และ 1
    การเข้าใจแค่ 2 สถานะของคอมพิวเตอร์ คือ 0 กับ 1  เรียกระบบนี้ว่าเลขฐาน 2

    ถ้าเทียบหน่วยนับของคนเรา 1-10 ซึ่งมี 10 สถานะที่ต่างกันเรียกว่าเลขฐาน 10

    B=Byte (ไบต์) หน่วยเล็กที่สุดที่คอมพิวเตอร์เข้าใจและถอดรหัสได้
    ด้วยความชาญฉลาดของผู้ออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ในอดีต นำเอาหน่วยเล็กที่สุด
    ที่คอมพิวเตอร์มองเห็นคือ bit มาเรียงกัน 8-bit ที่จะแสดงค่าที่แตกต่างกันมากถึง

    (2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2) = 256 สถานะ 
    ในหลักสูตรคณิตศาสตร์ มัธยมปลาย มีสอนเรื่อง Factorial จะช่วยทำให้เข้าใจขึ้น

    256 สถานะเหล่านี้ ถูกกำหนดเป็นภาษากลางที่คน และ คอมพิวเตอร์เข้าใจร่วมกัน
    เรียกว่า ASCII Code  

    หมายเหตุเพิ่มเติม :
    การแยกตัวอักษร บีเล็ก-บีใหญ่ (b=bit / B=Byte) เพื่อง่ายต่อการสื่อความหมาย
    เพราะหน่วย b(bit) จะใช้เมื่อเป็นหน่วยแสดงถึงความเร็วและ B(Byte) จะแสดง
    ถึงขนาด และ ความสามารถในการเก็บข้อมูล 



  • หน่วยวัดพื้นฐานที่ต้องเข้าใจ

     หน่วยนับที่คนเราคุ้นเคยและนิยมใช้ในปัจจุบัน เรียกว่าเลขฐาน 10   
     เช่น 1 , 10 , 100 , 1000 เมื่อศูนย์มีมากขึ้น ก็เริ่มใช้ตัวย่อมาช่วย
     เพื่อให้อ่านและเข้าใจได้สะดวกขึ้น
     เช่น 1,000 = 1K  หรือ 1,000,000 = 1M

     แต่โลกของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบดิจิตอลในการคำนวน จะใช้เลขฐาน 2 เป็นหลัก

     นั่นคือคอมพิวเตอร์ที่แสนฉลาดล้ำ นับเลขได้แค่ 0 กับ 1 เท่านั้น!!!
     หน่วยนับพื้นฐานของคอมพิวเตอร์คือหน่วย Byte (ไบต์) ซึ่งค่าสูงสุดคือ

     (2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2) = 256 = 2^8 (2 ยกกำลัง 8)

     เมื่อตัวเลขมากขึ้น การใช้ตัวย่อ K, M, G หรือ T เพื่ออ่านตัวเลขมากๆให้เข้าใจ
     ง่ายขึ้น จึงปรับเลขฐาน 2 เลข เป็นเลขฐาน 10 เพื่อให้การเรียกขนาดได้ง่ายขึ้น 

     จึงต้องปรับจาก  2^8 = 2x2x2x2x2x2x2x2 = 256
     เป็น 2^10 (นับครบ 10 รอบ)  = 2x2x2x2x2x2x2x2x2x2 = 1024 

     เมื่อได้ 1024 เป็นเลขฐาน 10 แล้วก็ง่ายแล้ว  ที่เหลือก็คูณตัวเลขเข้าไปอย่าง
     ที่เราคุ้นเคยเช่น ..
     1024x2 = 2048 = 2K Byate (2KB)
     1024x4 = 4096 = 4K Byte  (2KB)
     1024x1000 = 1G Byte (1GB)


     ด้วยเหตุนี้ หลักพันของเราคือ 1000 ส่วน หลักพันของคอมพิวเตอร์คือ 1024 


  • ความเร็วและขนาด
  
     ข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่จะมี ข้อมูลเกี่ยวกับความเร็ว และ ความจุ
     - ถ้าเกี่ยวกับความเร็ว ก็คิดแบบเลขฐาน 10 เช่น
       ซีพียู ความเร็ว 2.66GHz เท่ากับ 2660MHz เท่ากับ 2660000KHz
       ความเร็วของระบเครือข่าย 1000Mbps เท่ากับ 1Gbps (Gigabit LAN)
       อัตราการการรับส่งข้อมูล 3 Gb/s = 3000Mb/s

       * เมื่อพูดถึงความเร็ว จะมีหน่วยเป็น b=bit (bps ; b/s =bit per second )

     - แต่ถ้าเกี่ยวกับความจุ  ก็คิดแบบเลขฐาน 2 (คอมพิวเตอร์ใช้เลขฐาน 2) เช่น
       RAM ขนาด 4GB = (4x1024MB = 4096MB)
       SD Card ขนาด 8GB = (8x1024MB)

       * เมื่อพูดถึงความจุ หรือขนาด จะมีหน่วยเป็น B=Byte 

  • ว่ากันในเรื่องของความเร็ว และขนาด

      CPU : ซีพียูทำงานตามจังหวะสัญญาณ ความเร็วในปัจจุบันอยู่ในระดับ
               GHz (GigaHertz : กิ๊กกะเฮิร์ต) ความเร็วที่สูงมากขึ้น จะเป็นผลให้ 
               ซีพียู เกิดความร้อนในขณะทำงาน มากขึ้นไปด้วย
        
      FSB : Front Side Bus เป็นความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลไปมาระหว่างซีพียู
              กับอุปกรณ์ต่างๆ เช่นหน่วยความจำหลัก มีหน่วยเป็น 
              MHz (MegaHertz : เมกกะเฮิร์ต) เช่น 1066MHz 

      Cache : หน่วยความจำแคช เป็นหน่วยความจำที่อยู่ในซีพียู เป็นที่เก็บข้อมูล
              ที่มีการใช้งานบ่อยๆ เพื่อเพิ่มความเร็วในการดึงข้อมูล มีหน่วยเป็น
              MB (MegaByte : เมกกะไบต์) เช่น 3MB
              (ส่วน L2 / L3 คือประเภทของหน่วยความจำแคช ประสิทธิภาพก็ต่างกัน)
              ของ)
             
  •  มาตราส่วน ที่ต้องเข้าใจ
 
       เมื่อตัวเลขมากขึ้น เพื่อให้เข้าใจได้โดยเร็ว มักจะมีการใช้สัญลักษณ์ หรือตัวย่อ
       เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่น
       1,000,000,000,000   = 1T  (Tera)  สำหรับเลขฐาน 10     
       ดังนั้นจึงมีหน่วยการแปลง ทุกๆ 1,000 เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ดังนี้


หน่วยสัญลักษณ์ฐาน 10ฐาน 2
1 11
1,000K (Kilo)10^32^10
1,000,000M (Mega) = 1,000K10^62^20
1,000,000,000G (Giga) = 1,000M10^92^30
1,000,000,000,000T (Tera) = 1,000G10^122^40
1,000,000,000,000,000P (Peta) = 1,000T10^152^50
1,000,000,000,000,000,000E (exa)  = 1,000P10^182^60


  • การเชื่อมต่อระบบเครือข่าย / อินเตอร์เน็ต

        เมื่อระบบคอมพิวเตอร์มีความต้องการเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเป็นระบบเครือข่าย
     เพื่อแบ่งปันข้อมูลระหว่างกัน จึงมีการสร้างมาตรฐานในการเชื่อมต่อของ
     คอมพิวเตอร์ให้สื่อสารถึงกันได้
     โดยหลักๆ การเชื่อมต่อระบบเครือข่าย แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักตามลักษณะ
     การเชื่อมต่อ (แต่ก็จะมีลักษณะการเชื่อมต่ออื่นตามออกมา ตามการพัฒนา
     ของเทคโนโลยีและอุปกรณ์)  
         - LAN (Local Area Network)
         - MAN (Metropolitan Area Network)
         - WAN (Wide Area Network) 

     เราจะลงรายละเอียดเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโน๊ตบุ๊คเป็นหลักเท่านั้นคือ
     ระบบแลน (LAN) ซึ่งแบ่งย่อยลงไปอีกคือระบบมีสาย (Wired) และไร้สาย
     (Wireless) 

     LAN แบบมีสาย : คือการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายด้วยสายผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า
           NIC (Network Interface Card) ที่อยู่ในเครื่องโน๊ตบุ๊คโดยความเร็ว
           ในการรับส่งข้อมูล ห้เลือก 2 กลุ่มคือ
              - 10/100Mbps (Ethernet) ความเร็วสูงสุดที่ 100Mbps
              - 10/100/1000Mbps (Gigabit) ความเร็วสูงสุดที่ 1000Mbps
                ซึ่งความเร็วสูงสุดจะขึ้นกับอุปกรณ์เชื่อมต่อเช่น ฮับ, สวิตช์, เราเตอร์
                ว่ามีช่องเชื่อมต่อที่มีความเร็วเป็นเท่าใด

     Wireless LAN แลนไร้สาย : คือการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไร้สายผ่าน
           อุปกรณ์ที่เรียกว่า NIC มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่น้อยกว่าแบบมีสาย
           แต่มีความสะดวกมากกว่า ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายได้ในทุกที่
           ที่มีสัญญาณไปถึง 
           802.11 คือมาตรฐานของ Wireless LAN ซึ่งปัจจุบันมีความเร็วคือ
                     802.11a ความเร็ว 54Mbps (ความถี่ 5GHz)
                     802.11b ความเร็ว 11Mbps (ความถี่ 2.4GHz)
                     802.11g ความเร็ว 54Mbps (ความถี่ 2.4GHz)
                     802.11n ความเร็วมากกว่า 100Mbps (ความถี่แบบ MIMO)
                                 MIMO คือการใช้หลายคลื่นความถี่และหลายเสาส่ง
            โดยปกติจะเขียนรวมเป็น 802.11a/b/g/n หรือ ABGN
            เพื่อระบุว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นนั้นสามารถรองรับความเร็วในการเชื่อมต่อที่เท่าไหร่


ที่มา http://www.notebook-thailand.com/content/8-technical-terms-reading

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อ่านสเปคโน๊ตบุ๊คให้เข้าใจ ตอนที่ 2

Hard Drive



หลังจากเรารู้วิธีดูซีพียูและชิปเซ็ต ใน อ่านสเปคโน๊ตบุ๊คให้เข้าใจ ตอนที่ 1 ไปแล้ว คราวนี้เรามาดู ในเรื่องหน่วยความจำและฮาร์ดดิสก์ กันต่อ ซึ่งมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพและความสามารถในการทำงานของโน๊ตบุ๊คไม่น้อยเลยทีเดียว


หน่วยความจำหลัก / หน่วยความจำระบบ / System Memory / RAM

หน่วยความจำหลัก ถือเป็นทรัพยากรหลักที่สำคัญของ ซีพียู เลยทีเดียว การประมวลผลหรือทำงานตามคำสั่งโปรแกรมต่างๆ ก็จะเรียกใช้จาก

หน่วยความจำหลัก เป็นสำคัญ

เนื่องจากต้องทำงานร่วมกับซีพียูตลอดเวลา ดังนั้นประสิทธิภาพและความสามารถของหน่วยความจำหลัก ขึ้นกับ 3 ปัจจัยหลักคือ

- เทคโนโลยีในการรับส่งข้อมูล ปัจจุบันใช้แบบ SDRAM DDR3 เป็นหลัก (สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน ถอดรหัสศัพท์เทคนิด)

- ความเร็วในการรับส่งข้อมูล เช่น 1066MHz หรือ 1333MHz ซึ่งก็เป็นความเร็วที่สอดคล้องกับ FSB ในซีพียูเสมอ เพื่อให้มีการรับส่งข้อมูลระหว่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- ขนาดความจุของหน่วยความจำ โดยปกติหน่วยความจำที่มากกว่า มักจะทำให้การทำงานโดยรวมของโน๊ตบุ๊คเร็วกว่า เพราะสามารถส่งข้อมูลไปให้ตามความต้องการของซีพียูได้ดีกว่า หากหน่วยความจำน้อยไป ในการทำงานหน่วยความจำ อาจต้องไปเรียกข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์เพิ่มบ่อยขึ้น ก็จะทำให้ระบบช้า ด้วยเหตุนี้หากเราต้องการใช้งาน Windows 7 64-bit จำเป็นต้องใช้หน่วยความจำหลัก 4GB ขึ้นไป

ในปัจจุบันมักจะหน่วยความจำหลักเป็นหน่วย GB เช่น 2GB / 4GB / 8GB แต่ในบางครั้งอาจมีการเรียกเป็นหน่วย MBเช่น 2GB เรียกว่า 2048MB หรือ 4GB เรียกว่า 4096MB แทนซึ่งก็คือขนาดเร็วกัน



ในโบชัวร์จะมีรายละเอียดเกี่ยวกับหน่วยความจำหลักที่ต้องสังเกตเพิ่มเติมเช่น
A: Memory : 4GB (2GBx2) Max 8GB
B: Memory : 4GB (4GBx1) Max 8GB
ทั้งสองกรณี หน่วยความจำระบบที่มีในเครื่องเท่ากันคือ 4GB และสามารถเพิ่มได้สูงสุดเป็น 8GB ประสิทธิภาพการทำงานไม่ต่างกัน แต่จะมีความแตกต่างกันเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อหากเราต้องการขยาย
หน่วยความจำหลัก เป็น 8GB ที่เรียกกันว่า เพิ่ม RAM ซึ่งจะเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับ กรณีเครื่อง B เพราะซื้อ RAM สเปคเดียวกันมาเพิ่มอีก 4GB ชิ้นเดียวก็ได้แล้ว ในขณะที่ เครื่อง A ต้องถอด 2GB เดิมทั้ง 2 ชิ้นออก และซื้อ RAM 4GB 2 ชิ้นเข้าไปใส่แทน

ด้วยเหตุนี้ ถ้าสเปคอย่างอื่นเหมือนกันทุกอย่าง สเปค A มักจะมีราคาถูกกว่า
สเปค B อยู่นิดหน่อย

ฮาร์ดดิสก์ / Hard Disk / Hard Drive / HDD

ฮาร์ดดิสก์ ถือเป็นทรัพยากรจำนวนมหาศาลของระบบ การทำงานไม่ได้ส่งข้อมูล เข้าสู่ซีพียูโดยตรง แต่จะส่งผ่านไปยังหน่วยความจำหลัก RAM อยู่ตลอดเวลาการทำงานของฮาร์ดดิสก์ จะเกิดจากการทำงานของมอเตอร์เป็นหลัก ดังนั้นสิ่งที่จะวัดประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์ ก็คือ

- เทคโนโลยีในการรับส่งข้อมูล ซึ่งปัจจุบันคือ SATA II

- ความเร็วรอบในการหมุนของมอเตอร์ มีหน่วยเป็น รอบต่อวินาที RPM

ซึ่งมีหลายขนาด แต่ที่แพร่หลายมากคือ 5400rpm และ 7200rpmทำให้ความเร็วและราคา แตกต่างกันไป

- ขนาดความจุ มีหน่วยเป็น GB เช่น 320GB / 500GB / 640GB / 750GBในอนาคตอันใกล้ อาจได้เห็นขนาด 1TB แน่นอน

ฮาร์ดดิสก์เป็นที่เก็บโปรแกรมต่างๆของระบบ ไม่ว่าจะเป็น Operating System เช่น Windows 7 หรือโปรแกรมการทำงานต่างๆ ซึ่งนับมันก็จะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ควรเลือกใช้ฮาร์ดดิสก์ให้เหมาะสมกับการใช้งานประจำวันให้มากที่สุด

ปัจจุบันจะเห็นจากโบโชว์ว่าโน๊ตบุ๊คบางรุ่นนำเสนออุปกรณ์ที่เรียกว่า
SSD Solid-State drive มาใช้งานแทน ฮาร์ดดิสก์
ซึ่ง SSD ก็คือหน่วยความจำประเภทเดียวกับ Flash Drive / Thumb Drive
ที่เราพกติดตัวไว้ Copy ไฟล์จากโน๊ตบุ๊ค ผ่านช่อง USB นั่นเอง

จุดเด่นอยู่ที่ทำงานได้เร็ว น้ำหนักเบา กินไฟน้อย

จุดด้อยอยู่ที่ ความจุน้อยมากเมื่อเทียบกับฮาร์ดดิสก์ ราคาสูง


ออปติคอลไดร์ฟ / Optical Disk Drive / ODD

แผ่นบันทึกข้อมูลแบบออปติคอลที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมี CD , DVD
หรือ Blu-Ray สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวอุปกรณ์ออปติคอลไดร์ฟคือ

- สามารถใช้อ่านแผ่นแบบไหนได้บ้าง CD , DVD, Blu-Ray

- และสามารถบันทึก (write) แผ่นแบบไหนได้บ้าง

- ติดตั้งภายในโน๊ตบุ๊ค หรือ แบบ External คือเสียบผ่านUSB เมื่อต้องการใช้

(บางรุ่นไม่มีมาให้ ต้องซื้อเพิ่มเอง ต้องดูให้ดี)


กราฟฟิค / Display Adapter

ภาคการแสดงผลกราฟฟิค โดยทั่วไปจะสามารถทำได้อยู่แล้วใน ซีพียู ถ้าเป็นของ

Intel ก็จะเรียกว่า Graphic Media Acceletaor (GMA integrated)

แต่สำหรับโน๊ตบุ๊คที่ต้องการการแสดงผลกราฟฟิคขั้นสูง หรือ แบบ 3D อาจเลือก

ซื้อรุ่น ที่มีการ์ดจอแยก ที่ได้รับความนิยมสูงในขณะนี้ก็จะมีของ nVidia และ ATI

การ์ดจอแยกนี้ จะมีหน่วยประมลผลกราฟฟิค และ หน่วยความจำอยู่ในตัวการ์ดเลย เพื่อทำหน้าที่ใน การประมวลผลภาพกราฟฟิคโดยเฉพาะ ทำช่วยให้ ซีพียู

ทำงานได้ เร็วขึ้น


ระบบสื่อสาร / ระบบเน็ตเวิร์ก / Network

ระบบการสื่อสาร และ การเชื่อมต่อ สามารถแบ่งได้ 2 กลุ่มคือ มีสาย และ ไร้สาย

- มีสาย (Wired)

LAN : เป็นการเชื่อมต่อแบบระบบเครือข่าย ระหว่างคอมพิวเตอร์ หรือ

เข้าเข้าสู่อินเตอร์เน็ต ความเร็วสูงสุดในการเชื่อมต่อ มี 2 แบบ

10/100Mbps

10/100/1000Mbps โดยทั่วไปเรียกว่า Gigabit LAN

Modem : 56K V.92 เป็นการเชื่อมต่อผ่านสายโทรศัพท์

ในอดีตเป็นช่องทางหนึ่งในการเข้าสู่อินเตอร์เน็ต แต่ปัจจุบัน ไม่นิยมแล้วเพราะความเร็วต่ำมาก

ถ้าจะใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน ก็มีหน้าที่รับ-ส่งแฟกซ์โดยใช้โปรแกรม Windows Faxโน๊ตบุ๊คหลายๆรุ่นจึงไม่มี Modem มาให้อีกแล้ว

-ไร้สาย (Wireless)

Wireless LAN : เป็นการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายแบบไร้สาย ความเร็วสูงสุดในการเชื่อมต่อ เช่น

802.11a/b/g (g=ความเร็ว 54Mbps)

802.11a/b/g/n (n=ความเร็ว 108Mps)

ความเร็วอาจสูงกว่านี้ขึ้นกับเทคนิคการส่งสัญญาณแบบหลายคลื่น

Bluetooth : การเชื่อมไร้สายระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่สามารถรับส่งสัญญาณแบบ Bluetooth ได้

3G : โน๊ตบุ๊คบางรุ่นจะมีช่องใส่ Sim Card เพื่อใช้งานแบบ 3G ได้ทันที


ที่มา http://www.notebook-thailand.com/content/9-notebook-spec-understanding-2

อ่านสเปคโน๊ตบุ๊คให้เข้าใจ




การเลือกซื้อโน๊ตบุ๊ค ให้เหมาะกับงบประมาณที่มี และ ใช้งานได้คุ้มค่า ตรงตามวัตถุประสงค์ ไม่ใช่เรื่องยาก แม้ว่าข้อมูลที่ให้รายละเอียดสินค้าที่มีอยู่ในโบชัวร์ จะดูเหมือนว่าจะเข้าใจยากสักหน่อย แต่ถ้าลองอ่านบทความนี้จนจบแล้ว อาจทำให้การอ่านรายละเอียดสินค้าที่ว่ายาก กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ไปเลย

บทความนี้ จะนำเสนอวิธีพิจารณาเปรียบเทียบสินค้าจากโบชัวร์ที่เผยแพร่ทั่วๆไป เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างของอุปกรณ์ต่างๆที่ปรากฎในสเปคโน๊ตบุ๊คแต่ละรุ่น ซึ่งจะมีผลต่อราคา ตามประสิทธิภาพและความสามารถที่มีในโน๊ตบุ๊ครุ่นนั้นๆ เป็นหลัก

และหากต้องการอ่านรายละเอียดในเชิงเทคนิค ในอุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้ ท่านสามารถดูเพิ่มเติมได้ที่
ถอดรหัส ศัพท์เทคนิค

Consumer Notebook vs Business Notebook
เนื่องจากโน๊ตบุ๊ค มีให้เลือกมากมาย หลายรุ่น หลายขนาด ตามความต้องการในการใช้งาน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ผู้ผลิตมักจะแยกกลุ่มสินค้าออกเป็น 2 กลุ่ม เพื่อช่วยให้เราเลือกหา สินค้าตรงตามความต้องการของเรามากที่สุด

Consumer Notebook จะเน้นที่การใช้งานทั่วไป เหมาะกับใช้ส่วนตัว, ใช้ภายในครอบครับ หรือ กลุ่มนักศึกษา เป็นหลัก ซึ่งจะมีราคาที่ไม่สูงมาก แต่เน้นความโฉบเฉี่ยว สีสันสวยงาม สะท้อนไลฟ์สไตล์ ของผู้ใช้งาน

Business Notebook จะเน้นที่ประสิทธิภาพ ความสามารถในการใช้งาน ซึ่งราคาค่อนข้างสูง และ มีรายละเอียดในเชิงเทคนิคที่ต้องพิจารณามากพอสมควร

เมื่อทำความเข้าใจเบื้องต้นแล้ว .. เราเริ่มอ่านสเปคโน๊ตบุ๊คกันเลย

CPU / ซีพียู / Processor / หน่วยประมวลผล :โดยส่วนใหญ่แล้ว บรรทัดแรก ของสเปคโน๊ตบุ๊ค มักจะพูดถึง ซีพียู ซึ่งเป็นหัวใจหลักของระบบคอมพิวเตอร์ทุกชนิด และราคาของโน๊ตบุ๊ค โดยหลักๆ ก็จะมาจากตัวซีพียู นี่แหละ ปัจจุบันมีผู้ผลิตซีพียูอยู่หลายราย แต่ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ก็จะมี Intel (อินเทล) และ AMD(เอเอ็มดี) ซึ่งประสิทธิภาพ และความสามารถใกล้เคียงกัน

และเพื่อความกระชับ เราจะขอนำเสนอวิธีการพิจารณาการใช้งานซีพียูรุ่นต่างๆจาก Intel เป็นแนวทาง แต่ท่านสามารถเทียบซีพียูแต่ละรุ่นของ Intel และ AMD ในตารางด้านล่างเพื่อพิจารณาเลือกซื้อโน๊ตบุ๊คที่เหมาะสมกับท่านต่อไป


การพิจารณาประสิทธิภาพและความเร็วในการทำงานของซีพียูจะมี 2 องค์ประกอบ

- เทคโนโลยีการประมวลผล (ประสิทธิภาพ) ถ้าเรียงลำดับในปัจจุบัน
o Intel Core i7
o Intel Core i5
o Intel Core i3
o Intel Core 2 Quad
o Intel Core 2 Duo
o Intel Dual Core
o Intel Celeron

ความเหมาะสมในการเลือกใช้ ซีพียู แต่ละรุ่น ขึ้นกับลักษณะของการใช้งาน
โดยทั่วไป แบบออกเป็น 3 กลุ่ม

High Performance (Intel Core i7-i5-i3 / Intel Core 2 Quad)
o ซีพียูกลุ่มนี้จะมีประสิทธิภาพและความสามารถสูงเหมาะสำหรับงานคำนวณสูง
และซับซ้อนเช่นงานคำนวณทางสถิติ งานกราฟฟิค 3D ระดับสูง
งานตัดต่อภาพยนต์

Middle Performance (Intel Core 2 Duo / Intel Pentium Dual Core / Intel Core Duo / Intel Core Solo)
o ซีพียูกลุ่มนี้จะมีประสิทธิภาพในระดับกลาง เหมาะสำหรับการทำงานที่เป็น
แบบมัลติทาสกิ้ง คือใช้งานหลายแอฟฟลิเคชั่นในเวลาเดียวกัน หรือ
งานกราฟฟิค 3D ระดับเบื้องต้นที่ไม่ซับซ้อนมาก

Economy (Intel Centrino / Intel Celeron / Intel Atom)
o ซีพียูกลุ่มนี้จะมีราคาไม่สูงมาก เหมาะสำหรับการทำงานทั่วไปเช่น Microsoft
Office อ่านเมล์ ท่องเน็ต งานกราฟฟิคทั่วไป เล่นเกมส์


ความเร็วในการทำงานของซีพียู จะเรียกเป็นความถี่ในการทำงานเป็นหน่วย
GHz (กิ๊กกะเฮิร์ต)

ในแต่ละเทคโนโลยีของซีพียู ก็จะมีความเร็วในการทำงานให้เลือกย่อยลงไปอีก ซึ่งราคาก็แตกต่างกันค่อนข้างมาก เช่น

Intel Core i5-460M (2.66GHz) / Intel Core i5-560M (2.53GHz)
มีเทคโนโลยีเดียวกัน แต่ความเร็วในการประมวลผลต่างกัน ราคาก็ต่างกัน

เคยมีคำถามมาว่า ถ้างบประมาณจำกัด จะเลือก Intel Core i3 แต่ความเร็วในการทำงาน (GHz) สูงกว่า Intel Core i5 จะดีหรือไม่?

ตอบยากครับ ถ้าจะเทียบข้ามเทคโนโลยี่
แต่สิ่งหนึ่ง ที่ควรพิจารณาว่า ความเร็วที่เพิ่ม (GHz)
จะนำมาซึ่งความร้อนในตัวซีพียู หากโน๊ตบุ๊คออกแบบ
ระบบระบายความร้อนไม่ดีพอ อาจมีปัญหาและเสถียรภาพในการทำงานได้

สรุปแบบเน้นๆ : เลือกซีพียู ให้เหมาะกับการใช้งาน และงบประมาณที่มี


Cache L2 / Cache L3 / หน่วยความจำแคช
หน่วยความจำแคช เป็นหน่วยความจำที่อยู่ภายในซีพียู ซึ่งขนาดและชนิดจะขึ้นอยู่กับซีพียูในแต่ละรุ่น

FSB (Front Side Bus)
ฟรอนต์ไซด์บัส คือความเร็วในการรับส่งข้อมูลระหว่างซีพียูกับอุปกรณ์ต่างๆซึ่งหลักๆก็คือหน่วยความจำหลัก System Memory หรือเรียกกันสั้นๆว่าแรม (RAM) นั่นเอง ความเร็วของฟรอนต์ไซด์บัสมักเรียกเป็น MHz(เมกกะเฮิร์ต) เช่น 1066MHz

ชิปเซ็ต (Chipset)
ชิปเซ็ตมีหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆที่ต่อพ่วงเข้ามากับตัวเมนบอร์ด เช่นระบบเสียง, กราฟฟิค, ฮาร์ดดิสก์, ออปติคอลไดร์ฟ, ระบบสื่อสาร และอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ

ชิปเซ็ตมีการพัฒนาออกมาให้มีประสิทธิภาพและเหมาะกับการทำงานใช้งานแต่ละประเภท โดยทั่วไปแล้วผู้ผลิตมักจะเลือกใช้ชิปเซ็ตที่เหมาะกับคุณสมบัติหารใช้งานโน๊ตบุ๊คแต่ละรุ่นเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ท่านสามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพชิปเซ็ตแต่ละรุ่น ในด้านล่างของบทความนี้

มีต่อ กรุณาติดตาม
อ่านสเปคโน๊ตบุ๊คให้เข้าใจ ตอนที่ 2





ที่มา http://www.notebook-thailand.com/content/7-notebook-spec-understanding


Intel Processors AMD Processors
Intel Core i7AMD Phenom II X6
Intel Core i5AMD Phenom II X4
Intel Core i3AMD Phenom II X3
AMD Phenom II X2
Intel Core 2 Quad 
Intel Core 2 Extreme 
Intel Core 2 DuoAMD Phenom I X3
AMD Phenom I X4
Intel Pentium Dual CoreAMD Turion II Ultra
AMD Turion II
Intel Core Duo
Intel Core Solo
AMD Athlon II X2
Intel Centrino
Intel Centrino Duo
AMD Sempron
Intel AtomAMD Athlon Neo
AMD Athlon Neo X2


ชิปเซ็ตโน๊ตบุ๊คของอินเทล (Intel Notebook Chipset)


ชิปเซ็ตเน้นประสิทธิภาพ
Intel QM57 Express
Intel QS57 Express
Intel PM55 Express
Intel GS45 Express
Intel PM45 Express
Intel 915PM Express
Intel 855PM

ชิปเซ็ตทั่วไป
Intel HM67 Express
Intel HM55 Express
Intel HM57 Express
Intel GM45 Express
Intel 915GM Express
Intel 915GMS Express
Intel 855GM
Intel 845MP
Intel 845MZ

ชิปเซ็ตเน้นความคุ้มค่า
Intel HM65 Express
Intel GS40 Express
Intel GL40 Express
Intel 910GML Express
Intel 855GME
Intel 852GME
Intel 852GMV
Intel 852PM
Intel 852GM

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความแตกต่าง ของ CMS LMS LCMS




CMS คือ ระบบที่พัฒนา คิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยลดทรัพยากรในการพัฒนา(Development) และบริหาร(Management)เว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกำลังคน ระยะเวลา และเงินทอง ที่ใช้ในการสร้างและควบคุมดูแลไซต์ โดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะนำเอา ภาษาสคริปต์(Script languages) ต่างๆมาใช้ เพื่อให้วิธีการทำงานเป็นแบบอัตโนมัติ

LMS คือ เน้นที่การใช้เพื่อบริหารจัดการการเรียนการสอนทั้งในห้องเรียนปกติและในห้องเรียนเสมือน เพื่อช่วยให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ WBI เน้นการนำเสนอเนื้อหาของรายวิชาทางเว็บ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และทบทวนได้ตามศักยภาพของผู้เรียน Virtual Classroom

LCMS สามารถสร้าง และจัดเก็บข้อมูลเมื่อนำความสามารถของทั้ง 2 ระบบมาผนวกเข้าด้วยกัน แล้วพัฒนาต่อจนเกิด LCMS โดยมีการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบ คือระบบสามารถสร้างจัดเก็บ นำมา ใช้ใหม่ จัดการและเผยแผ่เนื้อหา จากฐานข้อมูลของเนื้อหาทั้งหมด

การนำคอมพิวเตอร์มาใช้กับการเรียนการสอน จำเป็นต้องนำแนวคิดของทฤษฎีต่างๆ มาผสมผสานกัน เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะ และโครงสร้างขององค์ความรู้ในสาขาวิชาต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยเพียงทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อให้ได้สื่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ตอบสนองต่อวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน และโครงสร้างขององค์ความรู้ของสาขาวิชาต่าง ๆ ที่แตกต่างกันนั่นเอง

จากหนังสือความท้าทายของการเป็นผู้นำได้นำเสนอกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ผู้นำเผชิญความท้าทาย ไว้ 5 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
1. ความสามารถที่จะมองเห็นภาพรวมของสถานการณ์
2. ความสามารถที่จะสร้างแนวร่วม
3. ความสามารถที่จะจัดการกับความขัดแย้ง
4. ความสามารถที่จะคลี่คลายปัญหาให้ผู้อื่น
5. ความสามารถที่จะรักษาสติท่ามกลางปัญหา และความกดดัน



ที่มา : อาจารย์เอกเทศ แสงลับ AKEKATHED @RERU

โน้ตบุ๊ค Windows 8 ขุมพลัง ARM จาก Lenovo และ ASUS คาดออกสู่ตลาดกลางปี 2013




           ระบบปฏิบัติการ Windows ที่ปัจจุบันใช้โปรเซสเซอร์ตระกูล x86 กำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อโน้ตบุ๊ค Windows 8 จะหันมาใช้โปรเซสเซอร์ ARM ในกลางปี 2013 ทั้งหมดแล้ว Paul Jacobs, CEO ของ Qualcomm เผยว่าเครื่องที่รัน Windows 8 จะหันมาใช้โปรเซสเซอร์ Snapdragon ที่เป็น ARM-based ในกลางปี 2012 โดยเริ่มต้นที่แท็บเล็ตก่อน และตามมาด้วยโน้ตบุ๊คของ ASUS และ Lenovo ราวเดือนมิถุนายน 2013

          อุปสรรคสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้คือซอฟต์แวร์ที่สนับสนุน แต่ Jacobs เชื่อว่าไม่เป็นปัญหา เนื่องจากซอฟต์แวร์ตัวหลักจะหันมาสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
ARM ได้ชื่อว่าเป็นชิปที่เมื่อเทียบราคาแล้วประหยัดพลังงานกว่าชิปของ Intel แต่ Intel ก็โต้ตอบกลับด้วยโปรเซสเซอร์ Ivy Bridge 22nm ตัวใหม่ที่คาดกันว่าจะประหยัดพลังงานมากกว่ารุ่นเก่า